Google เปิดตัวโฆษณาแบบใหม่ ใช้ชื่อว่า … Discovery Ads


Google เปิดตัวโฆษณาแบบใหม่ ใช้ชื่อว่า … Discovery Ads

โดยหน้าตาโฆษณาตัวใหม จะมีรูปภาพขนาดใหญ่ และข้อความใต้รูปที่สามารถคลิกได้ จะเป็นแบบเดียวกันกับแอพ Google บนมือถือ และหน้า Feed ของ YouTube

โฆษณาแบบใหม่นี้จะถูกแสดงใน 3 จุดตามภาพ ได้แก่ …

1. หน้าแรกของ YouTube ที่เป็น Feed #แต่โฆษณาตัวนี้จะไม่เป็นวิดีโอ

2.หน้า Discover รวม Feed ข่าวสารในแอพ Google บน Mobile รูปแบบโฆษณา Discovery Ads เข้ามาแทรกในหน้า Discover (รวมถึงในหน้าแรกของ YouTube และอีเมลใน Gmail)

3. แท็บ Promotions และ Social ของ Gmail #แสดงเป็นไอคอนแบบเดียวกับ Gmail

วิธีการลงโฆษณาจะต้องสร้างแคมเปญชนิดใหม่ที่เรียกว่า Discovery Campaign และคิดค่าโฆษณาแบบ cost-per-click (CPC)

Google เชื่อว่าการแสดงโฆษณาแบบใหม่นี้ จะเข้าถึงผู้ใช้จำนวนมหาศาลมากถึง 800 ล้านคน !!!

YouTube เปิดตัว Copyright Match สำหรับผู้ผลิตคอนเทนต์


YouTube เปิดตัว Copyright Match สำหรับผู้ผลิตคอนเทนต์ เพื่อช่วยค้นหาว่าวิดีโอของตนถูกขโมยไปอัพโหลดซ้ำหรือไม่ และป้องกันวิดีโอที่ถูกก๊อปปี้ไปอัพโหลดซ้ำ รวมถึงวีดีโอที่ละเมิดลิขสิทธิ์ 😉

หลักการทำงาน …
หลังจากอัพโหลดวิดีโอไป ระบบ YouTube จะสแกนวิดีโออื่น ๆ ที่ถูกอัพโหลดว่าเหมือนหรือคล้ายกับวิดีโอที่มีอยู่หรือไม่ และแจ้งเตือนมายังเจ้าของคอนเทนต์ในแถบ Matches ให้ทราบ

ข้อจำกัดในการใช้งาน …
1. YouTube พิจารณาจากเวลาที่อัพโหลด ถ้าผู้ผลิตคอนเทนต์รายอื่นอัพโหลดเวลาที่ช้ากว่า ถือว่าซ้ำ ! 😳

2. เครื่องมือนี้ตรวจจับได้เฉพาะกับวิดีโอที่ซ้ำกันเท่านั้น ไม่รวมพวกที่ถูกตัดต่อเป็นคลิป 🙄

Copyright Match จะเริ่มเปิดให้ใช้งานสำหรับช่องที่มีผู้ติดตามมากกว่า 1 แสนคน ในสัปดาห์หน้า และขยายให้ผู้ใช้งานทุกคนในอนาคต

การแบ่งประเภท “Social Media Monitoring Tools”


ในปัจจุบันเอเจนซี่ก็ดี แบรนด์เองก็ดี ต่างก็ใช้เครื่องมือ (Monitoring Tools) มาบริหารจัดการ Social Media ต่าง ๆ กันแทบทุกองค์กร แต่อาจแตกต่างกันไป เช่น อาจเป็นรูปแบบ Social Analytics ผสมกับ Social Manegement หรือรูปแบบ Social Listening ผสมกับ Social Influencer หรือรวมเอาทุกอย่างมารวมเป็น Tools เดียวกันก็มี

จึงเกิดคำถาม ว่าการแบ่งประเภทของเครื่องมือบน Social Media หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า … “Social Monitoring Tools”  แบ่งได้กี่รูปแบบ มีอะไรบ้าง ถือว่าเป็นคำถามที่ดี เป็นคำถามที่น่าสนใจ หลาย ๆ คนคงอยากรู้  เลยเขียนสรุปแบบย่อ ๆ ให้เข้าใจง่าย ๆ ดังนี้ …

Social Listening –  เครื่องมือที่ทำให้เราสามารถรับฟังสิ่งที่ผู้บริโภคพูดบนโลกออนไลน์ หรือใช้ในการค้นหาหรือเก็บข้อมูลเสียงของผู้บริโภคที่เราให้ความสนใจ วัตถุประสงค์เพื่อรับฟังเรื่องราวและประเด็นต่าง ๆ เรื่องที่เราสนใจ ในช่วงเวลาที่ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นการพูดถึงแบรนด์ สินค้า กิจกรรม หรือแม้กระทั่งบุคคล เพื่อทำให้เรารู้ว่า … ใครกำลังพูดอะไร พูดอย่างไร โดยทั่วไปมักจะใช้วิธีการจับจากคีย์เวิร์ดที่ต้องการ  

Social Management – เครื่องมือที่ใช้บริหารจัดการ social media ต่างๆ ของเรา เช่น Facebook , Twitter หรือ Instagram โดยปกติแล้วหากเราต้องรับคำถามหรือความคิดเห็นจากลูกค้า เราต้องเปิดเข้าไปดูทีละช่องทาง แต่ระบบ Social Management สามารถรวบรวมคำถามหรือความคิดเห็นจากหลายๆ ช่องทางมาที่ช่องทางเดียวและยังมีระบบในการตอบคำถามไปยังช่องทางอื่นๆ ได้ทันที

Social Marketing – เครื่องมือที่ใช้ในการสร้าง บริหารจัดการ และวัดผลการทำแคมเปญต่างๆ บน Social Media ในบางครั้งเราต้องเสียค่าใช้จ่ายและเวลาในการบริหารจัดการต่างๆ เช่น ค่าเวลาในบริการจัดการ ค่าเวลาในการจัดทำรายงาน ซึ่งต้นทุนเหล่านี้บ่อยครั้งมีมูลค่ามากกว่าของรางวัลที่จะแจกเสียอีก ระบบ Social Marketing จะช่วยลดค่าใช้จ่ายและระยะเวลาเหล่านี้ลงไปได้มาก

Social Analytics – เครื่องมือที่ใช้ในการวัดผลตัวเลขสถิติบน social media ต่างๆ เช่น จำนวนแฟนเพจ หรือ Engagement บน Facebook จำนวนผู้ติดตาม ซึ่งในเครื่องมือต่าง ๆ เหล่านี้จะมีการแสดง Metric หรือค่าชี้วัดต่าง ๆ อาจจะเป็นจำนวนตัวเลขสถิติหรือว่าค่าที่เป็นสูตรต่างๆ เพื่อช่วยให้เราเข้าใจข้อมูลที่เกิดขึ้นบน Social Media ของเราและคู่แข่ง 

Social Influencer – เครื่องมือที่ใช้วัดความมีอิทธิพลของโปรไฟล์ต่าง ๆ ซึ่งในเครื่องมือแต่ละเจ้า ก็จะมีวิธีการคำนวณหรือสูตรที่ใช้คำนวณแตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่นใน twitter ก็จะใช้ตัวเลข Follower, จำนวนการ Tweet, ระยะเวลาที่ใช้งาน หรือแม้กระทั่งดูแนวโน้มว่าทวีตของโปรไฟล์นั้นๆ มีการถูก Retweet บ่อยกว่า เป็นต้น

ปัจจุบันในท้องตลาดทั้งในและต่างประเทศ มีเครื่องมือ “Social Media Monitoring Tools”  อาจมีมากถึง 100 ตัว มีทั้งแบบเสียเงินและแบบฟรี หรือแม้แต่ให้ทดลองใช้ ถ้าชอบค่อยซื้อตัวเต็ม แต่จำกัดการใช้งาน ส่วนฟีเจอร์เด่น ๆ อยากได้ต้องซื้อตัวเต็มไป ผมจะขอคัด Tools ที่คิดว่าใช้งานไม่ยาก มีทั้งแบบให้ใช้ฟรี หรือ ราคาไม่แพงจนเกินไป และเหมาะสมกับการใช้งานของคนไทยที่จะเน้น Facebook , Instagram , Twitter และ LINE เป็นหลัก โดยแบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ …

1. Social Monitoring Tools

2. Social Listening Tools

3. Social Media Tools

4. Social Commerce Management Tools

โดยขออธิบายสั้น ๆ แบบกระชับดังนี้ 

1. Social Monitoring Tools สัญชาติไทยแท้

ZocialEye : ผมขอไม่อธิบายถึงเครื่องมือนี้ ผมเชื่อว่านักการตลาดทั้งมือใหม่ มือเก่า รู้จักกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว 

screen-shot-2560-01-26-at-14-53-18

Thoth Media : เป็น Social Monitoring ของบริษัท Thoth Media มีการปรับหน้าตาใหม่ มีการแสดงผลหลายๆ อย่างได้ละเอียดขึ้น เช่น Market Overview , Brand Overview , Sentiment And Share of Voice

screen-shot-2560-01-26-at-14-35-10

OBVOC : เป็นเครื่องมือในการทำ Brand Monitoring ของบริษัท startup สัญชาติไทยที่ชื่อว่า Onebit Matter  ซึ่งล่าสุด !  Thoth Zocial  vs OBVOC  ประกาศควบรวมธุรกิจด้านการวิเคราะห์ข้อมูลออนไลน์ ร่วมกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อ 2 วันที่ผ่านมา

screen-shot-2560-01-26-at-14-38-49

SocialEnable : มีความสามารถพิเศษตรงที่เป็นทั้ง Social Monitoring และเป็นเครื่องมือในการตอบลูกค้าได้เลยทันที พร้อมที่จะนำไปปรับใช้กับฝ่ายบริการลูกค้าของบริษัทได้เลย 

screen-shot-2560-01-26-at-14-48-53

Zanroo Social Listening : เป็น Brand Monitoring ที่ใช้ควบคุมจัดการ Crisis Management, Trend Monitoring, CRM, Competitor Analysis นอกจากนี้ยังมี Zanroo Social Engagement ที่ใช้จัดการ Social Media Accounts ของเรา 

screen-shot-2560-01-26-at-14-51-29

 TH3RE  เป็น Listening Tools ที่จะนำเอา Big data technology เข้ามาช่วยให้องค์กรได้เห็น Awareness ของ Brand และเข้าใจผู้บริโภคมากขึ้นจากผู้คนที่พูดถึงสินค้า หรือบริการ โดยมีรูปแบบของกราฟ และการแสดงผลให้เลือกมากมาย ซึ่งสามารถนำมาสร้างเป็น Warroom หรือ Command Centre ของตัวเองได้ทันที 

screen-shot-2560-01-26-at-14-50-04

2. Social Listening Tools

ViralHeat : เป็นเครื่องมือที่ออกแบบมาเพื่อทุกธุรกิจไม่ว่าจะเป็นบริษัทใหญ่หรือเล็ก ทำงานร่วมกันกับ Google Analytic รายงานผลข้อมูลทางประชากรศาสตร์ ผู้มีอิทธิพลต่อแบรนด์ และจำนวนทราฟฟิก รวมถึงยังสามารถวิเคราะห์ข้อมูลทางอารมณ์หรือความรู้สึกได้เหมือนเครื่องมืออื่นๆ ให้คุณทราบถึงปัจจัยที่ส่งผลดีและไม่ดีต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์

52907-viralheat1

DataSift : เครื่องมือวิเคราะห์การทำงานของเว็บโซเชียลแบบเรียลไทม์ ซึ่งข้อความสำคัญต่างๆ ที่ผู้บริโภคพูดถึงแบรนด์จะถูกจัดเก็บไว้ในระบบ ช่วยให้นักการตลาดสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์กำหนดทิศทางทางการตลาดได้

screen-shot-2560-01-26-at-14-30-26

Sysomos : เครื่องมือช่วยจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลการสนทนาบนสื่อออนไลน์ของผู้บริโภค ช่วยให้ทราบถึงสิ่งที่ผู้บริโภคบนโลกออนไลน์พูดถึงอย่างเจาะลึก เลือกดูได้ตามเพศ ช่วงอายุ ที่คุณสามารถเข้าถึงได้อย่างสะดวกและรวดเร็วผ่านระบบ Interface ที่เรียกว่า Heartbeat

screen-shot-2560-01-26-at-14-08-04

TweetReach : เครื่องมือช่วยวัดประสิทธิภาพของแต่ละข้อความที่ได้ทวีตผ่านทาง Twitter รวมทั้งยังวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ควรจะเจาะกลุ่มเป้าหมายไหน อย่างไร และเมื่อไรภายในระบบ Interface นี้

screen-shot-2560-01-26-at-14-21-28  screen-shot-2560-01-26-at-14-21-38

3. Social Media Tools

Crowdbooster : ถือว่าเป้นเครื่องมือชั้นดีของ Facebook  และ Twitter  ของคุณ เพราะมันจะคอยบอกว่าผู้ติดตามบน Page หรือ Account คนไหนที่ชอบมาไลค์ คอมเมนต์ แชร์ มากที่สุด และตัวระบบเองก็จะคอยเสนอแนะวิธีการทำให้ Page หรือ Account ของคุณดีขึ้นอีกด้วย แต่มันรองรับเฉพาะแค่ Facebook กับ Twitter เท่านั้น

screen-shot-2560-01-26-at-15-31-59

Social.gg : เป็นเครื่องมือฟรีซึ่งถูกสร้างโดยบริษัทสัญชาติไทยที่ชื่อว่า Computerlogy  หลักการทำงานของมันก็คือตัวระบบจะดึงข้อมูล Social ของทั้งประเทศไทยมา แล้วดูว่าเรื่องไหนกำลังเป็นกระแส แล้วก็นำเรื่องเหล่านั้นมาจัดเรียงเป็นหมวดหมู่ ใครที่ทำสายข่าวอยู่ เครื่องมือนี้น่าจะช่วยให้หาข่าวได้ง่ายขึ้นเยอะเลย 

screen-shot-2560-01-26-at-16-20-59

Goo.gl : เป็นของฟรีจาก Google มันเป็น Tools ที่ใช้ง่ายมากๆ ส่วนข้อด้อยก็คือ มันฟีเจอร์มันน้อยเกินไป ทำได้แค่ทำ URL ให้สั้นลง และก็วัดจำนวนคลิ๊กได้นิดหน่อย

screen-shot-2560-01-26-at-16-24-40

Buffer : เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือจัดการ Social Media ที่มีคนรู้จักมากที่สุดในโลก ข้อดีของเจ้าเครื่องมือนี้คือ มันจะโฟกัสอยู่แค่อย่างเดียวก็คือการทำยังไงก็ได้ให้ลูกค้าสามารถ Publish โพสต์บน Facebook, Twitter, Google+, Linkedin, Pinterest และ Instagram ของตัวเองได้ง่าย เร็วและดีที่สุด เพราะฉะนั้นแล้วมันน่าจะถูกเรียกว่า Social Media Publishing Tool ซะมากกว่า ข้อเสียเจ้า Tools นี้คือเรื่องราคา ที่มีราคาสูงไป

screen-shot-2560-01-26-at-16-32-09

Coschedule : มันเป็นเครื่องมือที่ค่อนข้างเฉพาะทาง เหมาะสำหรับ Blogger, Marketer และ Publisher ที่สร้างคอนเทนต์จำนวนมหาศาล ซึ่ง Tools ตัวนี้จะเชื่อมต่อเข้ากับ WordPress, Evernote, Google Docs และ Social Media (Facebook, Twitter, Google+, Linkedin, Tumblr และ Pinterest) และจะทำให้เราสามารถตั้งเวลาในการปล่อย Content และเห็นภาพแผน Content ทั้งหมดของเราได้บน Platfrom เดียว ใครที่ใช้ WordPress ในการทำเว็บไซต์ และมีการผลิต Content จำนวนมาก Tools ตัวนี้น่าจะตอบโจทย์มากๆ เลยข้อเสียคือ ทดลองใช้ได้ฟรี เพียงแค่ 14 วัน 

screen-shot-2560-01-26-at-17-20-53

Hootsuite : เป็น Social Media Management Tool ตัวที่ดัง และ ครบเครื่องที่สุดไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการ Publish คอนเทนต์ลงบน Social Media, การจัดการกับข้อความ และคอมเมนต์, การสร้างแคมเปญ และอื่นๆ อีกมากมาย ข้อดีคือ เริ่มต้นใช้งานมันได้ฟรี ส่วนราคาแบบพรีเมียมนั้นก็เริ่มต้นในราคา $9.99 ซึ่งถือว่าถูกมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่มันทำได้

screen-shot-2560-01-26-at-17-25-40

IFTTT (If This, Then That) : เป็นเครื่องมือที่ฟรี ! ช่วยเชื่อมต่อแอพพลิเคชั่นดังๆ ต่างๆ กว่า 500 แอพเข้าด้วยกัน และช่วยให้แอพต่างๆ ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่าง 

คุณสามารถส่งโพสต์ของ Facebook ไปยัง Twitter ได้ ด้วย Hashtag เฉพาะ (อย่างของ ดิจิทัลเตาะแตะ ถ้าโพสต์ไหนบน Facebook เราใส่ Hashtag ว่า #ดิจิทัลเตาะแตะ ตัวโพสต์จะถูกส่งไปยัง Twitter, Google+ และ Linkedin โดยอันโตมัติ

screen-shot-2560-01-26-at-17-32-16

4. Social Commerce Management Tools

Page 365 : เป็นระบบบริหารจัดการร้านค้าออนไลน์ บน Platfrom Facebook, Instagram และ LINE ซึ่งจะช่วยให้คุณคุยกับลูกค้าง่ายขึ้น เปิดบิลง่ายขึ้น รวมไปถึงการปิดการขาย และส่งของไปให้ลูกค้า

Page 365 Express : ที่ช่วยให้การส่งของผ่านไปรษณีย์ไทยง่ายขึ้นอีกด้วย แต่น่าเสียดายที่ไม่มีระบบการบริหารคลังสินค้าซึ่งมันจำเป้นมาก ๆ สำหรับการขายของออนไลน์ รวมทั้งหน้าตาของเว็บไซต์ที่มีปุ่มให้เลือกกดมากเกินไปทำให้ผุ้ใช้มือใหม่ ต้องเสียเวลาในการทำความเข้าใจสักระยะ

screen-shot-2560-01-26-at-17-42-58

Sellsuki : เป็นเครื่องมือที่ทำงานลักษณะเดียวกันกับ  Page 365 เจ้า Tools ตัวนี้สามารถบริหารจัดการคลังสินค้า รวมทั้งพูดคุยกับลูกค้าบน Facebook และ LINE รวมไปถึงช่วยให้การเปิดบิลปิดการขายสะดวกง่ายดายมากยิ่งขึ้น จุดเด่นคือ หน้าตาเว็บไซต์ที่ใช้งานง่าย มีระบบบริการจัดการคลังสินค้าที่จะทำให้รู้ว่าคุณมีสินค้าอยู่เท่าไหร่ รวมทั้งมีระบบบันทึกออเดอร์ และแจ้งชำระเงินออนไลน์, ระบบ Tag และระบบแจ้งรหัสพัสดุให้กับลูกค้า ที่สำคัญที่สุดคือ ฟรี ! 

screen-shot-2560-01-26-at-17-49-08

ของแถมครับ เป็น Tools Image Editor

Pablo : จุดเด่นเจ้า Tools ตัวนี้ จะช่วยปรับแต่งขนาดรูปภาพให้เหมาะสมกับ Social Media ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Twitter, Instagram และ Pinterest แล้ว คุณยังสามารถใส่ Filter, Text หรือ Logo แบรนด์ของคุณลงไปได้อีกด้วย แถมยังสามารถค้นหารูปภาพฟรี ไม่ติดลิขสิทธ์กว่า 6 แสนรูปภาพได้ผ่าน Pablo เลย 

screen-shot-2560-01-26-at-17-35-56

ผุ้อ่านท่านใดสนใจ Tools ตัวไหน ก็สามารถหาศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมผ่านทางเว็บไซด์ที่ผมใส่ลิงค์ไปให้ได้นะครับ

ข้อมูล Social Media Monitoring Tools เพิ่มเติม

– Top 15 Free Social Media Monitoring Tools

– 6 Social Media Monitoring Tools to Track Your Brand

– The Top 25 Social Media Monitoring Tools

– 46 Free Social Media Monitoring Tools to Improve Your Results

– 23 Tools for Social Media Monitoring

PageSpeed Insights เครื่องมือวัดความเร็วเว็บไซต์


เครื่องมือนี้คือ PageSpeed Insights หรือเครื่องมือวัดความเร็วเว็บไซต์นั่นเอง เมื่อใส่ชื่อเว็บเข้าไป เครื่องมือนี้จะวิเคราะห์เว็บไซต์นั้น และช่วยบอกเราได้ว่าเว็บของเรามีจุดที่ปรับปรุงได้ตรงไหน เพื่อทำให้เว็บทำงานได้ดีขึ้น เครื่องมือจะมีหน้าตาเป็นแบบนี้ …

Screen Shot 2559-02-03 at 4.34.28 PM

คลิกที่นี่ เพื่อใช้เครื่องมือ PageSpeed Insights

การแปลงโฆษณา Flash เป็นโฆษณา HTML5


หลายๆท่านอาจจะมีการโฆษณาในแบบรูปภาพในเครือข่ายการค้นหาอยู่แล้วนะครับ แต่ว่าอาจจะไม่ทราบว่าการเปลี่ยนจาก Flash เป็นในรูปแบบของ HTML5 อย่างเต็มตัวนั้น เป็นส่วนที่สำคัญ  ซึ่งจริงๆแล้ว Google ได้ทำการเปลี่ยนแปลงในส่วนของไฟล์รูปภาพจากแบบ Flash ไปเป็น HTML5 มีหลายกรณีมาก

(Article เต็มๆจาก Google Support อยู่ในลิงค์นี้ครับ) >>> https://support.google.com/adwords/answer/6249073?hl=th

1. คุณมีโฆษณา Flash ที่อัพโหลดไปยัง Google Adwords อยู่แล้ว 

 

https://support.google.com/adwords/answer/2991648?vid=1-635760693484099304-3611766555

2. สร้างโฆษณา Flash ใน Gallery Adwords
>> 2.1 อัปโหลดโฆษณาแบบรูปภาพใหม่หรือโฆษณา HTML5 หรือ
>> 2.2 สร้างเทมเพลตใหม่โดยใช้ “แนวคิดโฆษณา” ของ AdWords
3. คุณมีโฆษณา Flash ที่ทำงานบน server โฆษณาบุคคลที่สาม (เช่น DoubleClick Manager)

สร้างโฆษณา HTML5 ด้วยเครื่องมือฟรีจาก Google ต่อไปนี้

3.DoubleClick Studio: เรียกดูเทมเพลต HTML5 ที่หลากหลายและสร้างโฆษณาของคุณเองโดยใช้ ฐานข้อมูลเทมเพลต  ของเรา

3.2. แกเลอรีโฆษณา AdWords: สร้างโฆษณาไลท์บ็อกซ์ จากเทมเพลต HTML5 ที่มีอยู่ หรือรับ แนวคิดโฆษณาที่กำหนดเอง ตามเนื้อหาและรูปแบบของเว็บไซต์ของคุณ

3.3. Google Web Designer: ดาวน์โหลดเครื่องมือสร้าง HTML5 ฟรีนี้เพื่อสร้างโฆษณาในแคมเปญบนเครือข่ายดิสเพลย์ของ Google

 

รวมสไลด์การสัมมนา Google ตั้งแต่ มกราคม – พฤศจิกายน 2015


รวมสไลด์การสัมมนา Google ตั้งแต่ มกราคม – พฤศจิกายน 2015

มกราคม:
Go Mobile: 5 ขั้นตอนสู่ความสำเร็จบนมือถือกับ Google AdWords
https://goo.gl/E2aHSx

กุมภาพันธ์:
ล้วงลึกเว็บไซต์ เติบโตออนไลน์ด้วย Google Analytics (ภาคสอง)
https://goo.gl/5T0859

พฤษภาคม:
Go Mobile: 5 เทคนิคโปรโมทแอพให้โดนใจด้วย Google AdWords
https://goo.gl/1oB7Fk

กรกฎาคม:
ปักหมุดร้านบนแผนที่ออนไลน์ ด้วย Google My Business
ภาค 1: https://goo.gl/UIlgSL
ภาค 2: https://goo.gl/yM7Fm1

กันยายน:
จัดการโฆษณาง่ายๆ เมื่อเข้าใจโครงสร้างหน้า Adwords
https://goo.gl/TPjtXq

ตุลาคม:
เสนอให้ตรงใจด้วย Dynamic Remarketing
https://goo.gl/mur7FC

พฤศจิกายน:
เจาะกลุ่มลูกค้าด้วยอีเมล์ กับ Customer Match
https://goo.gl/fOYNRC

Google Tag Assistant คืออะไร


Google Tag Assistant คือเครื่องมือช่วยในการที่จะยืนยันว่าการลง Google tracking ต่างๆบนหน้าเว็บของคุณได้ทำถูกต้องแล้วหรือยัง เช่น คุณได้ดำเนินการใส่ Google Analytics ไปในหน้าเว็บ หรือว่า Conversion Tracking ในหน้าที่ลูกค้าใส่ฟอร์มเข้ามาในหน้า “Thank You” ของเว็บเรา
แล้วโฉมใหม่ของ Google Tag Assistant ล่ะครับ? Google Tag Assistant Recording คืออะไร?
tag-assistant
Google Tag Assistant Recording นี้จะเป็นเครื่องมือที่ทำหน้าที่ได้เหมือนกับ Google Tag Assistant ที่หลายๆท่านเคยใช้มาแล้ว แต่เพียงคุณสามารถที่จะทำการ บันทึก หรือ Record (ที่มาของชื่อใหม่นี้) หน้าเว็บที่สำคัญของคุณ (เช่น หน้า Thank You page) ว่ามีคนเข้ามาจากหน้าใดบ้าง เช่น facebook หรือหน้า search ของ google นั้นเอง
 
สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมวิธีการทำงานและการตั้งค่าต่างๆได้ที่: 

Customer Match และ Universal App Campaign


Google AdWords เปิดตัว 2 โปรดักท์ใหม่ในงาน Advertising Week ที่นิวยอร์กเมื่อคืนที่ผ่านมา ซึ่งจะเริ่มทยอยอัพเดทให้ใช้งานกันใน 2-4 สัปดาห์นี้ เพราะฉะนั้น มาทำความรู้จักทั้งสองโปรดักท์กันนะคะ ว่าทั้งสองอย่างที่เปิดตัวมามีประโยชน์อะไรบ้าง จะนำมาปรับใช้กับโฆษณาของเราแบบไหน และมีวิธีทำอย่างไรค่ะ 🙂

Customer Match ทำให้คุณสามารถกำหนดเป้าหมายด้วยการอัพโหลดรายชื่ออีเมล์ ซึ่งมีประโยชน์ทั้งการสื่อสารกับกลุ่มลูกค้าที่มีอยู่แล้ว เช่น รายชื่ออีเมล์ลูกค้าจาก Loyalty Program ของแบรนด์เรา หรือแม้แต่การใช้รายชื่ออีเมล์เหล่านี้เพื่อคัดแยกลูกค้าปัจจุบันออกจากการกำหนดเป้าหมาย และกำหนดให้แสดงโฆษณาให้กลุ่มลูกค้าใหม่เท่านั้น

Customer-Match

ดูข้อมูลวิธีการตั้งค่าได้ที่ https://goo.gl/LhVAyd

Universal App Campaign ทำให้การโฆษณาแอพพลิเคชั่นเป็นเรื่องง่ายดาย ด้วยการทำให้เราสามารถตั้งแคมเปญเพื่อโฆษณาแอพพลิเคชั่นมือถือของเราทั้งบน Google Search, Google Play, Google Display Network, และ YouTube พร้อมกันทั้งหมดทุกเครือข่ายได้ภายในไม่กี่ขั้นตอน

UAC

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://goo.gl/utrxOh
ดูวิธีสร้าง Universal App Campaign (แคมเปญแอปสากล) ได้ที่ https://goo.gl/FWO4CZ

คุณสามารถเลือกแสดงโฆษณาบน Gmail ได้แล้ว


อีเมล์เป็นอีกส่วนที่สำคัญมากในชีวิตประจำวันของเรา ไม่ว่าจะใช้ติดต่องาน รับข่าวสาร หรือติดตามโปรโมชั่นร้านค้าที่เราสนใจ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา Google ได้ทำงานร่วมกับผู้ลงโฆษณาหลากหลายแบรนด์ เพื่อร่วมกันทดลองและพัฒนากลยุทธ์การทำการตลาดด้วยอีเมล์ที่ได้ผลดีที่สุด เรายินดีที่จะประกาศให้ทราบว่า โฆษณา Gmail มีให้ผู้ลงโฆษณาทุกท่านสามารถใช้ใน AdWords ได้โดยตรงแล้วโดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนพิเศษใดๆ ก่อนเริ่มใช้งานอีกต่อไป

โฆษณา Gmail เป็นโฆษณาแบบ Interactive

ระหว่างการพัฒนาโฆษณา Gmail เราได้ลองทดสอบรูปแบบต่างๆ เพื่อให้รู้ว่ารูปแบบใดที่ผู้ใช้เห็นว่าน่าสนใจมากที่สุด สิ่งที่เราค้นพบคือ สำหรับอีเมล์นั้น โฆษณาแบบ Interactive ได้ผลดีที่สุด เราจึงได้นำโฆษณาแบบข้อความออกจาก Gmail ทั้งหมด และแสดงแต่โฆษณาแบบ Interactive เท่านั้น ซึ่งจะประกอบด้วย 2 สองส่วนหลักคือ

  1. Collapsed Ad ซึ่งเป็นส่วนแรกของโฆษณาที่ลูกค้าจะเห็น หน้าตาของโฆษณาจะดูเหมือนอีเมล์ใน Inbox และลูกค้าสามารถคลิกที่โฆษณานี้เพื่อขยายดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้

  2. Expanded Ad Unit เมื่อลูกค้าคลิกที่ Collapsed Ad แล้ว จะเห็น Expanded Ad Unit ขยายขึ้นมาเป็นหน้าใหม่ และแสดงข้อมูลเพิ่มเติม ทั้งรูปภาพและข้อความตามที่เรากำหนด การคิดค่าใช้จ่ายจะคิดเฉพาะตอนที่ลูกค้ากดขยาย Collapsed Ad ขึ้นมา แต่หลังจากนั้นจะไม่เสียค่าใช้จ่ายเลย ไม่ว่าลูกค้าจะคลิกเพื่อบันทึกโฆษณาลงใน Inbox หรือคลิกแชร์ให้คนอื่นๆต่อไป

Screen Shot 2015-09-28 at 10.24.27 AM

คุณสามารถสร้างโฆษณาแบบ Interactive บน Gmail ได้โดยตรงใน AdWords ด้วย 3 ขั้นตอนต่อไปนี้

  1. สร้างแคมเปญเครือข่ายดิสเพลย์ (Display Network)

  2. เลือกตำแหน่ง (Placement) เป็น “mail.google.com

  3. สร้างโฆษณา Interactive สำหรับ Gmail ในแกลเลอรีโฆษณา (Ad Gallery)

Screen Shot 2015-09-28 at 2.07.34 AM

Template โฆษณาที่มีให้เลือกใช้ใน Ad Gallery เป็นแบบไหน

คุณสามารถเลือก Template ได้หลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นโฆษณาแบบรูปภาพเดียว  โฆษณาพร้อมรูปภาพ รายละเอียด และปุ่ม หรือโฆษณาที่แสดงสินค้าหลายชิ้นพร้อมๆกัน นอกจากนี้ คุณยังสามารถเลือกรูปแบบ โฆษณา HTML ที่กำหนดเลย (Custom HTML) เพื่อเพิ่มเติมวีดิโอ แบบฟอร์ม เบอร์โทรศัพท์ หรือลิงก์ต่างๆได้อีกด้วย

ต้องกำหนดเป้าหมายอย่างไร

คุณสามารถใช้ตัวเลือกการกำหนดเป้าหมายในเครือข่ายดิสเพลย์ที่คุณคุ้นเคยอยู่แล้วได้เกือบทั้งหมด เช่น คำหลัก (Keywords) ผู้ชมตามกลุ่มความสนใจ (Interests) ข้อมูลประชากร (Demographic) และหัวข้อ (Topics)

วัดประสิทธิภาพแคมเปญแบบใหม่ ด้วยเป้าหมายแบบแบบสมาร์ท (Smart Goal)


หลายๆ คนอยากรู้ว่าการทำโฆษณากับ Google AdWords ได้ผลมากแค่ไหน คนที่คลิกเข้ามาเป็นคนที่ซื้อของจริงๆหรือไม่ แต่ว่าเว็บไซต์ที่มีอาจไม่เหมาะกับการวัดผลด้วย conversion แบบปกติ เช่นเป็นเว็บไซต์ที่ใช้การสั่งซื้อโดยให้ลูกค้าโทรศัพท์เข้ามาสั่งซื้อสินค้า

ถ้าคุณใช้ Google Analytics อยู่ มีตัวเลือกนึงที่เราอยากแนะนำให้ใช้ ซึ่งคือการตั้งเป้าหมายแบบสมาร์ท (Smart Goal) ที่จะช่วยให้คุณสามารถวิเคราะห์ลูกค้าที่เข้ามาชมเว็บไซต์และแยกลูกค้าที่มีโอกาสซื้อออกจากลูกค้าที่แค่มาดูผ่านๆได้ ยกตัวอย่างเช่น หากเรารู้ว่าลูกค้าที่คลิกโฆษณาเข้ามามีการเปิดดูสินค้าหลายรายการ อ่านหน้าเว็บทั้งหน้า และกดไปที่ปุ่มติดต่อเรา ลูกค้าคนนั้นมีโอกาสจะโทรหาและสั่งของได้มากกว่าลูกค้าทั่วไป

ทำไม Smart Goal ถึงน่าใช้?

  • ไม่ต้องติด Tag Conversion  เพิ่มในหน้าเว็บของคุณ

  • แยกกลุ่มลูกค้าที่มีโอกาสซื้อได้ดีขึ้น

  • สามารถปรับกลยุทธ์การเสนอราคาของ AdWords เพื่อดึงดูดผู้เข้าชมเว็บไซต์ให้ถูกกลุ่มได้

Screen Shot 2016-01-15 at 1.57.37 PM

เปิดใช้เป้าหมายแบบสมาร์ท (Smart Goal) ง่ายๆ ใน 3 ขั้นตอน

1) ลงชื่อเข้าใช้ Google Analytics จากนั้นกดแท็บ “ผู้ดูแลระบบ” เลือก “เป้าหมาย” ที่อยู่ด้านล่างของ “มุมมอง” กด “+เป้าหมาย” แล้วเลือก “เป้าหมายแบบสมาร์ท” (ดูวิธีการเชื่อมโยงบัญชี Google Analytics และ Adwords ได้ที่  https://goo.gl/tB16Zc  หากไม่สามารถกดเลือกได้ แปลว่าเรายังไม่มีจำนวนคลิกขั้นต่ำ จะต้องรอให้ได้ 1,000 คลิก ภายในระยะเวลา 30 วันจาก AdWords ก่อนนะครับ

Screen Shot 2016-01-15 at 2.59.07 PM

Screen Shot 2016-01-15 at 3.10.55 PM

2. จากนั้นลงชื่อเข้าใช้ Google AdWords กดเลือก “เครื่องมือ” → “Conversion” → “Google Analytics” → กดเลือก “Smart Goal” และคลิก “นำเข้า”

Screen Shot 2016-01-15 at 5.19.59 PM

3. เมื่อทำการนำเข้าแล้ว เราจะสามารถเลือกใช้กลยุทธ์การเสนอราคาแบบ CPA ได้ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้ติด Conversion แบบดั้งเดิม ดังนั้นแล้วการใช้เป้าหมายแบบสมาร์ทนี้เหมาะมากสำหรับผู้ลงโฆษณาที่ไม่สามารถวัด Conversion ด้วยการติดแท็กบนเว็บได้ หรือปริมาณของ conversion นั้นมีน้อยเกินและทำให้ไม่สามารถใช้ CPA ได้ แต่ว่ามีการติดตามด้วย Google Analytics อยู่แล้วครับ
Tips :

สำหรับคนที่ทำ conversion tracking อยู่แล้วอาจจะสามารถวัด conversion ที่ concrete ได้ดี เช่น มีคนซื้อของ หรือ ลงทะเบียนมากน้อยแค่ไหน สำหรับ smart goal จะช่วยเติมเต็มในส่วนของพฤติกรรมของลูกค้าที่เข้ามาชมเว็บเราค่ะ ว่าลูกค้าที่เข้ามานั้นมีคุณภาพแค่ไหน หรืออาจจะดูความแตกต่างว่าคนที่เข้ามาในเว็บนานและมีการเปิดดูเว็บที่มีคุณภาพที่ดีนั้นมีปริมาณต่างกับลูกค้าที่ convert มากหรือไม่  หรืออย่างบางธุรกิจคนดูเว็บนานอาจจะไม่ซื้อ แต่คนที่จะซื้อจะเข้ามาแป๊บเดียวแล้วสั่งเลย เป็นต้นค่ะ  ซึ่งเราสามารถนำข้อมูลส่วนนี้ไปวิเคราะห์และปรับกลยุทธ์ได้นะครับ