มาเช็กโหงวเฮ้ง ‘หน้าผาก’ บอกนิสัย ตัวตน กันเถอะ


เช็กโหงวเฮ้ง ‘หน้าผาก’ บอกนิสัย ตัวตน ธาตุแท้ลึกๆ เชื่อว่าสามารถบ่งบอกถึงความสามารถของระดับสติปัญญา ครอบครัว ผู้อุปถัมภ์ ผู้ให้กำเนิด รวมทั้งสามารถบอกลักษณะนิสัยว่าเป็นคนแบบไหนได้ ซึ่งลักษณะของหน้าผากแต่ละแบบนั้น สามารถบอกได้ถึงลักษณะนิสัยที่ซ่อนอยู่ลึก ๆ ได้เป็นอย่างดี

1.หน้าผากโค้ง คนที่มีหน้าผากโค้ง มักเป็นคนเปิดเผยจริงใจ นิสัยตรงไปตรงมา ไม่มีลับลมคมใน ที่สำคัญคนที่มีหน้าผากโค้งได้รูปมักโกหกไม่ค่อยเนียน จับผิดง่ายเพราะถ้ารู้สึกอะไรมักจะแสดงออกมาอย่างนั้น

2.หน้าผากกว้าง คนที่มีหน้าผากกว้าง มักเป็นคนที่เรียนรู้เร็ว ฉลาดเป็นกรด มีความสามารถ มีเหตุผล และมักเป็นที่รักของคนรอบข้าง

3.หน้าผากตรง คนที่มีหน้าผากตรง เป็นคนตรง ใจกว้าง รอบคอบ มุ่งมั่นตั้งใจทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว เหมาะที่จะทำธุรกิจ เพราะถ้าเป้าหมายอะไรจะพยายามไปให้ถึงเป้าที่ตั้งเอาไว้เสมอ

4.หน้าผากแคบ คนที่มีหน้าผากแคบ เป็นคนที่ชอบเก็บความรู้สึก คิดมาก เจ้าอารมณ์

5.หน้าผากสูงเหมือนภูเขา คนที่มีหน้าผากสูง เป็นคนจิตใจดี โรแมนติก มีเหตุผลและมีความคิดครีเอทสร้างสรรค์ มั่นใจในตัวเอง รักความก้าวหน้า นิสัยอ่อนโยน และทำในสิ่งที่รัก

6.หน้าผากโค้งเป็นรูปตัว M คนที่มีหน้าผากโค้งเป็นรูปตัว M มักเป็นคนซื่อสัตว์ ชอบลงมือทำมากกว่าพูด มีความรับผิดชอบ เข้ากับคนอื่นง่าย และเป็นคนที่มีจินตนาการที่ดี และที่สำคัญคนที่มีลักษณะหน้าผากโค้งหยักเป็นรูปตัว M เป็นคนที่เชื่อถือได้

7.หน้าผากซิกแซก คนที่มีลักษณะหน้าผากเป็นคลื่นมักเป็นคนดื้อ มีความคิดเป็นของตัวเอง ชอบเก็บตัว ไม่ถนัดเข้าหาคนอื่น แถมยังปากแข็ง จนบางครั้งทำให้ดูเป็นคนโลกแคบ

4 เทคนิคเพิ่มประสิทธิภาพ SEO มือถือของคุณ


4 เทคนิคเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ SEO เว็บไซต์บนมือถือของคุณ

1. สร้างแผนผังไซต์สำหรับเว็บไซต์บนอุปกรณ์มือถือของคุณ

คุณสามารถสร้างแผนผังเว็บไซต์บนอุปกรณ์มือถือได้โดยใช้ protocol แผนผังไซต์พร้อมกับเพิ่ม Tag เพิ่มเติม รวมถึงความต้องการของ Namespace อีกทั้งคุณยังสามารถสร้างรายการแผนผังเว็บไซต์ที่มีรายการเนื้อหาวิดีโอแยกออกมาต่างหากได้  หรือ คุณเพิ่มเนื้อหาวิดีโอลงในแผนผังไซต์ที่มีอยู่เดิมก็ได้  มันเป็นผลดีต่อการตอบสนองคำขอจากการค้นหาจากโทรศัพท์มือถือที่จะนำไปสู่หน้าเว็บไซต์ได้แม่นยำขึ้น  เมื่อสร้างแล้วควรตรวจสอบว่าแผนผังไซต์ของคุณแสดงผลกับ protocol Sitemap บนมือถือ ตัวอย่าง …

<?xml version="1.0" encoding="UTF-8" ?>
 <urlset xmlns="http://www.sitemaps.org/schemas/sitemap/0.9"
         xmlns:mobile="http://www.google.com/schemas/sitemap-mobile/1.0">
    <url>
        <loc>http://mobile.example.com/article100.html</loc>
        <mobile:mobile/>
    </url>
</urlset>

คำแนะนำสำหรับการสร้างแผนผังไซต์อุปกรณ์มือถือ

  • หากคุณเลือกใช้ เครื่องมือสร้างแผนผังไซต์ ก่อนอื่นคุณต้องตรวจสอบว่าเครื่องมือสามารถสร้างแผนผังไซต์รองรับบนอุปกรณ์มือถือได้

  • รวมแท็ก <mobile:mobile/> เพื่อให้มั่นใจว่า URL บนมือถือของคุณมีการรวบรวมข้อมูลอย่างถูกต้อง

  • URL ที่แสดงภาษา markup ที่หลากหลายสามารถแสดงอยู่ในแผนผังไซต์เดียวกันได้

  • Search Console ระบบจะตรวจสอบและสนับสนุนภาษา markup บนอุปกรณ์เคลื่อนที่โดยอัตโนมัติ  โปรไฟล์บนอุปกรณ์เคลื่อนที่่ XHTML  (WAP 2.0),  WML (WAP 1.2),  HTML (imode)

XML Namespace

xmlns:mobile=”http://www.google.com/schemas/sitemap-mobile/1.0

Feature phone tag definitions

Tag Required Description
<mobile:mobile/> Yes Put this singleton tag inside any <url> tag to indicate that the URI serves content optimized for feature phones.

2.   ตรวจสอบ index  Google bot 

ไฟล์ robots.txt  เป็นไฟล์ที่มีความสำคัญและมีประสิทธิภาพมาก จะช่วยให้ Google bot ที่จะมีการเข้าถึงเว็บไซต์บนโทรศัพท์มือถือรวมถึงไฟล์และโฟลเดอร์ของคุณได้ นอกจากนี้คุณยังจะต้องให้แน่ใจด้วยว่า index ของ Google รองรับระบบ JavaScript, CSS และไฟล์ภาพในเว็บไซต์มือถือของคุณได้  รวมทั้งสามารถดึงข้อมูลและแสดงผลผ่าน Webmaster Tools ได้

ไฟล์ robots.txt ควรได้รับการบันทึกไว้ใน m.domain.com/robots.txt และแสดงดังต่อไปนี้ …

User-agent: *

Allow: /

3.   หลีกเลี่ยงข้อมูล เนื้อหาและการแสดงผลที่ซ้ำซ้อนกัน

หากคุณมีเว็บไซต์ที่แตกต่างกันทั้งบนมือถือและเดสก์ท็อป  ขอแนะนำให้เพิ่มคำอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างกัน  rel=”alternate” และ rel=”canonical” tags” 2 Tag นี้ช่วยให้ Google สามารถจัดอันดับ และ เนื้อหาที่ซ้ำซ้อนกันระหว่างมือถือและเดสก์ท็อปได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น  การกำหนด URL ที่มือถือให้สอดคล้องและสัมพันธ์กัน ควรเพิ่มแท็กนี้ในส่วนหัว HTML ของหน้าเดสก์ท็อป ให้ชี้ไปที่อุปกรณ์บนมือถือ ตัวอย่าง …

<link rel=”alternate” media=”only screen and (max-width: 640px)” href=”http://m.domain.com/mobile-page/”/>

ในทำนองเดียวกันการเพิ่ม rel=”canonical” tag ในหน้ามือถือที่ชี้ไปยัง URL บนเดสก์ทอป ควรเพิ่มในส่วนหัว HTML ของหน้ามือถือโดยใช้ URL ของเดสก์ทอปที่สอดคล้องกัน ตัวอย่าง …

<link rel=”canonical” href=”http://www.domain.com/desktop-page/”/>

4.   เพิ่มประสิทธิภาพโดยใส่ meta tags และเลือกใช้ คำค้นหา ที่เหมาะสม

ข้อนี้มีความสำคัญมาก การใส่แท็ก meta title ไม่ควรเกิน  55 ตัวอักษร และ meta description ควรจะได้ถึง 115 ตัวอักษร และเพิ่มเทคนิคพิเศษ โดยใช้  Schema.org  ประกอบไปด้วย และอีกอย่างที่ควรให้ความสำคัญไม่แพ้กัน คือ keyword research  โดยใช้ tools  Google Keyword Plannerจะช่วยให้คุณวิเคาระห์คำค้นหาที่มีประสิทธิภาพได้  ถ้าคุณอยากรู้ว่าเว็บของตัวเอง มีค่า mobile – friendliness มากน้อยแค่ไหน เช็คคะแนนได้ที่ Mobile-Friendly Test และอ่านคำแนะนำเรื่องการทำเว็บให้เหมาะกับอุปกรณ์พกพาที่ Mobile Friendly Websites 

อุปกรณ์มือถือเป็นสิ่งสำคัญที่นักการตลาดมองข้ามไม่ได้ และเป็นประเด็นร้อนในการทำ SEO เพื่อรองรับอุปกรณ์บนมือถือในปัจจุบัน เมื่อคุณสร้างเว็บไซต์สำหรับมือถือ คุณควรทำตามทุกเคล็ดลับที่เขียนไปทั้งหมด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ SEO เว็บไซต์บนมือถือของคุณ  อย่าลืม ! ตรวจสอบการแสดงผล ขนาดตัวอักษร ว่าสามารถอ่านได้ และ ทุกเมนูใช้ได้ไม่มีปัญหา สุดท้ายควรตรวจสอบ page load speed  เว็บไซต์มือถือของคุณด้วยว่าสามารถแสดงผลได้รวดเร็ว ไม่กระทบต่อการใช้งานและประสบการณ์ของผู้ใช้

เรื่องราวย่อๆ ของหนังสือเรื่อง Animal Farm ที่แต่งโดย จอร์จ ออร์เวล (1903-1950)


D7uwlVZU8AEPHIw.png-large

ฟาร์มแห่งหนึ่ง ที่มีคนชื่อนายโจนส์ เป็นเจ้าของ ซึ่งนายโจนส์ไม่ใช่เจ้าของที่ดีนัก ขี้เกียจ และก็ขี้เมา ใช้งานแต่สัตว์ และในค่ำคืนหนึ่ง เมเจอร์ หมูอาวุโส ก็ได้ปาฐกถา แก่เหล่าสัตว์ทั้งหลาย โดยมีใจความสำคัญว่า … 

มนุษย์เอาแต่บริโภค แต่ไม่เคยผลิต มนุษย์เป็นศัตรู ที่หากเหล่าสัตว์กำจัดมันำปได้ ก็จะแก้รากเหง้าของปัญหา แห่งความเหนื่อยยากได้ . หลังจากนั้นไม่นาน เมเจอร์หมูชรา ก็เสียชีวิตไป โดยมีหมู 3 ตัว ทำหน้าที่สืบทอดเจตนารมณ์ของเมเจอร์ หมูสามตัวที่ชื่อ นโปเลียน สโนว์บอล และสเควลเลอร์ ได้นำพาเหล่าสัตว์ ขับไล่นายโจนส์ออกไปจากฟาร์มได้ในที่สุด และได้จัดทำบัญญัติ 7 ประการ ออกมา คือ …

1. อะไรก็ตามที่เดินด้วยสองขาคือศัตรู

2. อะไรก็ตามที่เดินด้วยสี่ขาหรือมีปีกคือมิตร

3. สัตว์จะต้องไม่สวมเสื้อผ้า

4. สัตว์จะต้องไม่นอนบนเตียง

5. สัตว์จะต้องไม่ดื่มสุรา

6. สัตว์จะต้องไม่ฆ่าสัตว์ด้วยกันเอง

7. สัตว์ทุกตัวเท่าเทียมกัน

โดยมีคติพจน์สั้นๆ ว่า “สี่ขาดี สองขาเลว” คือแบ่งแยกกันไปเลยว่างั้น

สโนว์บอล เป็นหมูที่มีความคิดสร้างสรรค์ พยายามที่จะสานต่ออุดมการ์ของหมูอาวุโส เมเจอร์ที่ลาจากโลกนี้ไป สเควลเลอร์ เป็นหมูที่มีวาทศิลป์ พูดกล่อมขายฝันเก่งมากๆ นโปเลียน เป็นหมูที่ต้องการอำนาจ แอบซ่องสุมเอาสุนัขมาเป็นกองกำลัง มีแกะทำหน้าที่คอยท่องคติพจน์ล้างสมอง แรกๆ หลังจากไล่มนุษย์ออกจากฟาร์ม ก็เหมือนจะดูดี และแล้วความขัดแย้งก็เกิดขึ้น 

ทุกๆ ครั้งที่สโนว์บอล เสนอไอเดียอะไรดีๆ ออกมา แกะของนโปเลียน ก็คอยประสานเสียงพูดคติพจน์ “สี่ขาดี สองขาเลว” แทรกอยู่นั่น นโปเลียนพยายามใช้คติพจน์ ทำให้เหล่าสัตว์อื่นๆ เกลียด และกลัวมนุษย์ มองว่ามนุษย์ คือ สิ่งเลวร้ายที่สุด และพร้อมยอมรับกับทุกอย่าง เพื่อป้องกันไม่ให้มนุษย์กลับมา

ครั้งหนึ่ง เหล่าสัตว์จับได้ว่า แอ็ปเปิล และนม กลับถูกแอบเม้มไปยังห้องของพวกหมู สเควลเลอร์ หมูยอดวาทศิลป์ จึงทำหน้าที่ไปกล่อมสัตว์ต่างๆ ว่า แอ็ปเปิล กับนม ที่หมูกินเข้าไป ก็เพื่อให้ร่างกาย และสมองแข็งแรง เพื่อที่ะได้คิดป้องกันไม่ให้นายโจนส์กลับมาไง ไม่กลัวว่านายโจนส์จะกลับมาหรอกหรือเควลเลอร์ เอาเรื่องมนุษย์มาขู่สัตว์อื่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนหมูกลายเป็นสัตว์ที่มีอภิสิทธิ์ เหนือสัตว์อื่น 

สโนว์บอล พยายามที่จะขายไอเดีย ที่จะให้เหล่าสัตว์สร้างนวัตกรรมกังหันลม เพื่อผ่อนแรงในการทำงาน แต่นโปเลียนไม่เห็นด้วย และอยากให้สัตว์ต่างๆ ทำงานต่อไป นโปเลียนพูดแต่ว่า เรื่องสร้างกังหันลม เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ก็ไม่มีเหตุผลอื่นใดมาหักล้าง . และแล้ววันลงมติ นโปเลียนก็แอบปล่อยให้ฝูงหมาที่ตัวเองเลี้ยงเอาไว้ มาไล่กัดสโนว์บอล จนสโนว์บอลหนีออกจากฟาร์มไปในที่สุด

สเควลเลอร์ ทำหน้าที่พูดกล่อมสัตว์อื่นๆ อยู่ตลอดเวลาว่า ถ้ากลัวนายโจนส์กลับมา ก็ต้องเชื่อฟังนโปเลียน  สเควลเลอร์วันๆ ก็คอยเอาตัวเลขมาเล่าให้สัตว์ต่างๆ อยู่นั่นว่า ผลผลิตเพิ่มขึ้นนะ แต่สัตว์ต่างๆ ไม่เคยตรวจสอบได้เลย ทำได้แค่เชื่อในสิ่งที่สเควลเลอร์ เอามาเล่า มื่อสัตว์ต่างๆ ได้รับการแบ่งปันผลผลิตที่น้อยลงเรื่อยๆ สัตว์ต่างๆ ก็เริ่มที่จะไม่เชื่อในสิ่งที่สเควลเลอร์พูดแต่ไม่เชื่อ แล้วจะทำไงได้ ในเมื่อมีฝูงหมาที่นโปเลียนเลี้ยงเอาไว้คอยขู่ฮึ่มๆ อยู่ตลอด

อยู่ดีๆ พวกหมู ก็ย้ายจากฟาร์มเข้าไปอยู่ในบ้านของมนุษย์ สัตว์ต่างๆ ต่างทักท้วงว่า นี่มันผิดข้อตกลงนี่นา ไหนว่าสัตว์จะไม่นอนบนเตียงไง . แต่พอไปดูที่บัญญัติ 7 ประการ ก็พบว่ามันถูกแอบแก้เป็น “สัตว์จะไม่นอนบนเตียง พร้อมสิ่งปกคลุม” เสียแล้ว

พวกหมูก็อ้างว่า ก็ขึ้นไปนอนบนเตียงเปล่าๆ โดยไม่มีผ้าห่มไง ก็ยังถูกต้องตามที่บัญญัติอยู่นะ ใครมีปัญหาอะไร!!! . แม้ว่าสโนว์บอล จะไม่อยู่แล้ว แต่ชื่อของสโนว์บอลกลับถูกนำมาพูดให้ร้ายอยู่เสมอๆ อะไรที่ไม่ดี ล้วนจะถูกพูดว่า เป็นฝีมือของสโนว์บอลทั้งสิ้น สัตว์ตัวใดที่คิดถึงสโนว์บอล หรือไม่เชือฟังนโปเลียน ต่างถูกลงโทษ จนในที่สุดก็มีการลงโทษจนถึงตาย

สัตว์ต่างๆ เริ่มโวยวายว่า “ไหนบัญญัติบอกไว้ไงว่า สัตว์จะต้องไม่ฆ่าสัตว์ด้วยกันเอง แล้วทำไมต้องฆ่ากันด้วย” แต่ก็มาพบภายหลังว่า บัญญัติข้อนั้น ได้ถูกแก้ไขเป็นว่า “สัตว์จะต้องไม่ฆ่าสัตว์ด้วยกันเอง โดยไร้เหตุผล” ไปเสียแล้ว . แถมข้อที่ว่า “สัตว์จะต้องไม่ดื่มเหล้า” ก็ถูกแก้เป็น “สัตว์จะต้องไม่ดื่มเหล้า มากเกินไป”

ยุคหลังจากนายโจนส์ภายใต้การนำของหมูนโปเลียน สัตว์ต่างๆ มีแต่ความยากลำบาก ทำงานหนักขึ้น ม้าที่ชื่อบ็อกเซอร์ เป็นม้าที่มีความหวังกับการปฏิวัติมากๆ อาสาทำงานหนักมาโดยตลอด พอมันป่วยกลับถูกนโปเลียนหลอกว่าจะพาไป รพ. แต่กลับส่งไปโรงฆ่าสัตว์ เพื่อแลกกับเงินค่าเหล้าของพวกหมู

สุดท้ายหมู ก็ลุกขึ้นมายืนสองขา พร้อมกับให้แก้เปลี่ยนคติพจน์ของฟาร์มเป็น “สี่ขาดี สองขาดีกว่า” . แถมบัญญัติข้อสุดท้าย ก็ถูกแก้ไขเป็น “สัตว์ทุกตัวมีความเท่าเทียมกัน แต่บางตัวมีความเท่าเทียมมากกว่าตัวอื่นๆ”

ฟาร์มที่พวกสัตว์ต่างๆ อาศัยอยู่ รวยขึ้น หรูหราขึ้น แต่พวกสัตว์ต่างๆ กลับไม่ได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเลย สัตว์ที่ร่ำรวย ก็มีแต่พวกหมู และฝูงหมา . ตอนนี้สัตว์ต่างๆ ในฟาร์ม แยกไม่ออกแล้วว่า พวกหมูนั้นต่างจากมนุษย์อย่างนายโจนส์อย่างไร จอร์จ ออร์เวลล์ นั้นชื่นชอบแนวคิดแบบสังคมนิยม แต่โจเซฟ สตาลิน กลับนำเอาแนวคิดอุดมคติของคาร์ลมาร์กซ์ และเลนิน ไปสู่การเป็นผู้นำเผด็จการ 

หมูอาวุโสเมเจอร์ คือ เลนิน

หมูนโปเลียน คือ สตาลิน

ฝูงหมา คือ กองทัพแดง

หมูสโนว์บอล คือ ทรอตสกี

หมูสเควลเลอร์ คือ โมโลตอฟ

ถ้าเปรียบเรื่อง Animal Farm กับบริบทประเทศไทย นี่คล้ายกับสิ่งที่ คสช. ทำมากๆ นะ . คุณประยุทธ์ ไม่ต่างจากหมูนโปเลียนเลย รัฐธรรมนูญปี 60 ก็ไม่ต่างจากบัญญัติ 7 ประการ ฉบับแก้ไข . ยังแปลกใจอยู่ ว่าทำไมคุณประยุทธ์ถึงแนะนำให้คนอ่านหนังสือเล่มนี้ ….. 

สงครามการค้าระหว่างจีน – สหรัฐ ในมุมส่วนตัว


สงครามการค้าระหว่างจีน – สหรัฐ ในมุมส่วนตัว

หากมองย้อนกลับไป ความจริงที่ผ่านมา อเมริกาถูกเอาเปรียบจริง และถูกเอาเปรียบมานาน ตั้งแต่สมัย บุช , โอบามา จนปัจจุบัน สหรัฐเสียดุลการค้าให้กับประเทศจีน จีนมีรายได้ส่งออก 550 ล้านต่อปี ในขณะสหรัฐมีรายได้ส่งออกไปจีนเพียงแค่ 150 ล้านเท่านั้น !

แถมจีนพยายามไม่ยอมเปิดโอกาสให้สหรัฐ เพิ่มการส่งออกให้มากขึ้น แถมจีนยังขโมย Intellectual Property ทรัพย์สินทางปัญญาจากสหรัฐอย่างต่อเนื่อง

ในขณะที่รัฐบาลจีน เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ แถมยังออกนโยบาย Made in China 2025 ของรัฐบาลจีน ที่บางสื่อเรียกว่าเป็นนโยบาย “State – Backed Intellectual Property Theft”

ล่าสุด จีนยังตอบโต้ โดยการให้ร้านอาหารในประเทศจีนขึ้นป้าย ว่า … ชาวอเมริกันทุกท่าน จะต้องชำระค่าภาษีเพิ่ม 25% จากบิลอาหาร… หากท่าน มีความสงสัยอะไร ก็ให้ไปสอบถามสถานทูตอเมริกันของท่านเอง!! โอ้ววว แซ่บมากกก

Google เปิดตัวโฆษณาแบบใหม่ ใช้ชื่อว่า … Discovery Ads


Google เปิดตัวโฆษณาแบบใหม่ ใช้ชื่อว่า … Discovery Ads

โดยหน้าตาโฆษณาตัวใหม จะมีรูปภาพขนาดใหญ่ และข้อความใต้รูปที่สามารถคลิกได้ จะเป็นแบบเดียวกันกับแอพ Google บนมือถือ และหน้า Feed ของ YouTube

โฆษณาแบบใหม่นี้จะถูกแสดงใน 3 จุดตามภาพ ได้แก่ …

1. หน้าแรกของ YouTube ที่เป็น Feed #แต่โฆษณาตัวนี้จะไม่เป็นวิดีโอ

2.หน้า Discover รวม Feed ข่าวสารในแอพ Google บน Mobile รูปแบบโฆษณา Discovery Ads เข้ามาแทรกในหน้า Discover (รวมถึงในหน้าแรกของ YouTube และอีเมลใน Gmail)

3. แท็บ Promotions และ Social ของ Gmail #แสดงเป็นไอคอนแบบเดียวกับ Gmail

วิธีการลงโฆษณาจะต้องสร้างแคมเปญชนิดใหม่ที่เรียกว่า Discovery Campaign และคิดค่าโฆษณาแบบ cost-per-click (CPC)

Google เชื่อว่าการแสดงโฆษณาแบบใหม่นี้ จะเข้าถึงผู้ใช้จำนวนมหาศาลมากถึง 800 ล้านคน !!!

Instagram แอบทดสอบฟีเจอร์ใหม่


Instagram แอบทดสอบฟีเจอร์ใหม่ ลบ Followers ออก โดยไม่ต้องกด Block โดยที่อีกฝ่ายไม่ถูกแจ้งเติอน !

โดยฟีเจอร์ใหม่นี้ เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ไม่ต้องการให้ใครบางคนมาติดตามเราไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ซึ่งเงื่อนไขฟีเจอร์ใหม่นี้ ใช้ได้เฉพาะกับบัญชี Instagram ที่เปิดแบบสาธารณะ (Public) เท่านั้น !

ข้อสังเกตุ …
ฟีเจอร์ใหม่นี้ ทาง Instagram ยัไม่ได้ประกาศเป็นทางการ เมื่อสอบถามไป ถูก Instagram ปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นกับฟีเจอร์นี้ บอกแต่เพียงว่า มีฟีเจอร์ใหม่ ๆ นำมาทดสอบเป็นระยะ ๆ อยู่แล้ว

YouTube เปิดตัว Copyright Match สำหรับผู้ผลิตคอนเทนต์


YouTube เปิดตัว Copyright Match สำหรับผู้ผลิตคอนเทนต์ เพื่อช่วยค้นหาว่าวิดีโอของตนถูกขโมยไปอัพโหลดซ้ำหรือไม่ และป้องกันวิดีโอที่ถูกก๊อปปี้ไปอัพโหลดซ้ำ รวมถึงวีดีโอที่ละเมิดลิขสิทธิ์ 😉

หลักการทำงาน …
หลังจากอัพโหลดวิดีโอไป ระบบ YouTube จะสแกนวิดีโออื่น ๆ ที่ถูกอัพโหลดว่าเหมือนหรือคล้ายกับวิดีโอที่มีอยู่หรือไม่ และแจ้งเตือนมายังเจ้าของคอนเทนต์ในแถบ Matches ให้ทราบ

ข้อจำกัดในการใช้งาน …
1. YouTube พิจารณาจากเวลาที่อัพโหลด ถ้าผู้ผลิตคอนเทนต์รายอื่นอัพโหลดเวลาที่ช้ากว่า ถือว่าซ้ำ ! 😳

2. เครื่องมือนี้ตรวจจับได้เฉพาะกับวิดีโอที่ซ้ำกันเท่านั้น ไม่รวมพวกที่ถูกตัดต่อเป็นคลิป 🙄

Copyright Match จะเริ่มเปิดให้ใช้งานสำหรับช่องที่มีผู้ติดตามมากกว่า 1 แสนคน ในสัปดาห์หน้า และขยายให้ผู้ใช้งานทุกคนในอนาคต

สรุปสถิติ Facebook ตลอดในช่วงปี 2017 ที่คุณควรรู้ !


facebook-logo-stats-2018

อีกไม่กี่วัน เรากำลังก้าวเข้าสู่ช่วงท้ายปี 2017 เข้าสู่ปี 2018 กันเข้าไปทุกทีแล้ว ในช่วงตลอดปีที่ผ่านมา ก็มีเรื่องราวของสถิติออนไลน์ ให้เราได้รับรู้ รวมถึงเทรนดิจิทัล ที่เกิดขึ้นใหม่ๆ ออกมามากมาย Blog วันนี้ จะเขียนสรุปสรุปสถิติ เกี่ยวกับ Facebook ในช่วงตลอดปี 2017 ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ?

สถิติการใช้งาน Facebook

1.  Facebook users ณ วันที่ 30 มิย 2017 แตะ 2.01 พันล้านคน คิดเป็น 22% ของประชากรโลก

2.  79% ของชาวอเมริกันใช้ Facebook-แพลตฟอร์มที่มีเปอร์เซ็นต์การใช้งานที่ใกล้เคียงที่สุดที่สองคือ Instagram ที่ 32%

facebook

3.  มากกว่าครึ่งหนึ่ง (53%) ของอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาใช้ Facebook วันละหลายครั้ง

facebook-statistics-several-times-usage

4.  มีเพจที่เป็นเพจธุรกิจ (Fanpage) ทั่วโลกมากถึง 50 ล้านเพจ

5.  22% ของประชากรทั้งหมดของโลกใช้ Facebook

6.  มีบัญชีผู้ใช้ Facebook ปลอมมากถึง 83 ล้านบัญชี

7.  ทุกนาทีจะมีคนสมัคร Facebook กว่า 400 คน

8.  มีคนใช้ Facebook Messenger กว่า 1.2 พันล้านต่อเดือน (active users)

9.  คนโดยส่วนใหญ่ เข้า FB เฉลี่ย 8 ครั้ง/วัน

10.  ในแต่ละวัน มีคนอัพเดท Status 35 ล้าน status

Facebook สถิติการเชื่อมต่อ

11.  ผู้ใช้ 1 คน จะมีเพื่อนเฉลี่ย 155 คน แต่จะมีเพื่อน 28% ที่นับเป็นเพือนสนิท

facebook-statistics-separation

12.  83% ของผู้ปกครองที่มีลูกอายุ 13-17 ปี เป็นเพื่อนกับลูกตัวเองใน Facebook

13.  39% ของผู้ใช้ Facebook เชื่อมต่อกับคนที่ไม่เคยเจอกันจริงๆ

14.  42% ของ Facebook ตอบสนองการบริการลูกค้าที่เกิดขึ้นในช่วง 60 นาทีแรก

facebook-statistics-CS (2)

15.  มากกว่าครึ่งหนึ่ง (53%) ของอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาใช้ Facebook วันละหลายครั้ง

16.  36% จำนวนผู้ใช้ Facebook เชื่อมค่อกับเพื่อนบ้านของพวกเขา

17.  58% จำนวนผู้ใช้ Facebook เชื่อมต่อกับเพื่อนร่วมงาน

18.  Facebook ถูกใช้งานใน 101 ภาษา

facebook-statistics-translation

ชีวิตเห็นพ้องสถิติ Facebook

19.  Users กว่า 770,000 คน ใช้ FB บริจาคเงินกว่า 17 ล้าน US ใน 1 สัปดาห์ หลังเกิดแผ่นดินไหวที่เนปาลในปี 2015 ซึ่ง Facebook เองก็ร่วมบริจาคด้วย 2 ล้าน US dollar

20.  8.5 ล้านคนผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยหลังจากที่เมษายน 2015 เกิดแผ่นดินไหวในประเทศเนปาล

facebook-statistics-social-examiner

21.  Average reach ของการโพสต์ใน Fanpage ตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 2.6%

22.  เพจที่มีจำนวน Followers น้อยกว่า จะมีอัตรา Reach และ Engagement สูงกว่าเมื่อเทียบกับเพจที่มี Followers จำนวนมาก

23.  แบรนด์ต่างๆ โพสต์เฉลี่ย 8 ครั้งต่อสัปดาห์บน Facebook

24.  57% ของลูกค้ากล่าวว่า Social Media มีผลต่อการ Shopping และ Facebook เป็นปัจจัยสำคัญคิดเป็น 44%

Facebook สถิติการโฆษณา

facebook-statistics-ctr

25.  ค่า CTR เฉลี่ยของทั้งอุตสาหกรรม (ใน US) คือ 0.9 %

facebook-ads-average-cost-per-click-cpc

26.  93% ของผู้ลงโฆษณาบน Social Media ลงบน Facebook ตามมาด้วย Instagram 24%

27.  รายได้โฆษณาที่ Facebook ได้จาก IG คือ 20%

28.  ความยาวที่เหมาะสมที่สุดสำหรับ Title บนโฆษณา Facebook คือ 4 – 15 คำ

facebook-stats-4

29.  ภาพมีผลต่อประสิทธิภาพการทำโฆษณาถึง 75-90%

30.  รายได้โฆษณา Facebook ช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2017 โตขึ้น 47% เทียบกับปีที่ผ่านมา

31.  26% ของผู้ใช้ Facebook ที่คลิกโฆษณา

Facebook ประชากรสถิติ

32.  83 % ของผู้หญิง และ 75% ของผู้ชายใช้ Facebook

facebook-statistics-2018-men-v-women

33.  83% ของผู้ใช้ Facebook ทั่วโลกอายุต่ำกว่า 45 ปี

34.  39% ของ Facebook user แต่งงานแล้ว อีก 39% ยังโสด

35.  ผู้ชายอายุ 18-24 คิดเป็นกลุ่มผู้ใช้ใหญ่สุดของ Facebook อยู่ที่ 18%

facebook-statistics-demographics1

36.  62% ของผู้ใช้ Facebook มีการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย ในขณะที่ 30% มีการศึกษาระดับมัธยม

37.  85% ของผู้ใช้งาน Facebook อยู่นอกสหรัฐอเมริกาและแคนาดา

38.  สหรัฐ, อินเดีย, บราซิลและอินโดนีเซีย เป็นสมาชิก Facebook มากที่สุด

facebook-statistics-location

Facebook สถิติวิดีโอ

39.  ยอดวิวของวีดีโอบน Facebook สูงกว่า 8,000 ล้านวิวต่อวัน

40.  85% ดูวีดีโอแบบปิดเสียง

41.  การรับชมวีดีโอบน Smartphone สูงกว่าบน Desktop 1.5 เท่า

42.  Live video คิดเป็น 20% ของ Facebook Video ทั้งหมด

43.  วีดีโอได้รับ Engagement สูงสุด และภายในปี 2020 มากกว่า 75% ของคอนเทนท์ในมือถือจะเป็นวีดีโอ

44.  47% ของมูลค่าของโฆษณาวิดีโอของ Facebook ที่เกิดขึ้นในสามวินาทีแรก

facebook-statistics-video-watched

Facebook สถิติมือถือ

facebook-statistics-mobile-video

45.  คนจะอ่าน content บน Facebook เร็วกว่าเมื่อเล่นจากมือถือ ( มือถือ 1.7 วิ/คอนเทนท์ และ Desktop 2.5 วิ/คอนเทนท์)

46.  19% ของการใช้เวลาบนมือถือคือบน Facebook

facebook-statistics-mobile-usage

47.  47% ของผู้ใช้ Facebook เข้าถึงแพลตฟอร์มผ่านมือถือ

Facebook สนุกข้อเท็จจริง

48.  กลางปี 2017 Facebook มีพนักงานมากกว่า 20,000 คน สูงกว่าปีที่แล้ว 43%

49.  2.5 ล้านล้าน คือ จำนวนโพสต์ทั้งหมดบน Facebook

facebook-statistics-statista

50.  ในแต่ละวัน Facebook มียอดชมวีดีโอทั้งหมดรวมกันมากกว่า 3,000 ปี (ถ้าคิดว่าแต่ละวีดีโอมีคนดู 3 วิ)

52.  42% ของคนที่ไลค์ Facebook page คืออยากได้คูปองหรือส่วนลด

53.  ทุก ๆ นาทีจะมีมากกว่า 4 ล้าน like เกิดขึ้นบน Facebook

54. Facebook Reactions ถูกใช้ไปแล้วมากกว่า 300,000 ล้านครั้ง นับตั้งแต่ launch ครั้งแรก

55.  เงินเดือนของ Mark Zuckerberg คือ 1 ล้านเหรียญต่อปี

คัมภีร์การทำ SEO ในปี 2018 ที่คุณควรรู้ !


เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วจริง ๆ เผลอแป๊บเดียวกำลังจะผ่านพ้นปี 2017 ก้าวย่างเข้าปี 2018 แล้ว นึก ๆ ย้อนหลังไป ผู้เขียนเองทำงานในวงการดิจิทัลมาร่วม ๆ 10 ปี แต่ละปีจะมีสิ่งใหม่ ๆ เกิดขึ้น โดยเฉพาะเทรนการทำ SEO ที่ Google ปรับเปลี่ยน Algorithm (อัลกอรึทึม) เป็นว่าเล่น เล่นเอาคนทำงานด้านเว็บไซต์ก็ดี คนทำงานด้าน SEO ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์แทบไม่ทัน

Blog วันนี้ จึงอยากเขียนอัพเดตให้คนทำงานด้าน SEO ว่าในปี 2018 ที่กำลังจะมานั้น ควรต้องมีความรู้ ความเข้าใจ ให้มากขึ้น รวมทั้งเทคนิคการทำ SEO ให้เกิดประสิทธิภาพ ติดในหน้าแรกของการค้นหา (Search engine)

images

หลักการทำ SEO ในปี 2018 ที่ทุกคนควรรู้ ควรทำ มีดังนี้ …

1. เราต้องรู้ก่อนกว่าอะไรคือแก่นของ Google Search 

google-search
– หมายถึง … หากเราต้องการให้เว็บของเราติดอับดับหน้าแรก เราควรสร้างเนื้อหาแบบที่ Google ชอบ คือ เป็นข้อมูล (information) ที่เป็นคำตอบต่อคนที่กำลังอยากรู้ และข้อมูลเหล่านั้น ต้องเป็นข้อมูลที่เรียบเรียงมาอย่างดี อ่านแล้วต้องเข้าใจง่ายๆ (Accessible) และสุดท้ายข้อมูลของเราต้องเป็นประโยชน์ (Useful) คือ ช่วยแก้ปัญหาหรือให้คำตอบกับคนที่กำลังต้องการมันได้

2. เราต้องรู้ว่า Google ใช้หลักเกณฑ์อะไรบ้าง ? 

google-keyword-planner-tool
– หมายถึง … Google ต้องใช้เครื่องมือในการวิเคราะห์เว็บไซต์ทั้งโลก และดึงเฉพาะเว็บที่มีข้อมูลดีที่สุดมาแสดงเท่านั้น เพื่อให้คำตอบต่อผู้ที่อยากได้ข้อมูลนั้น ๆ และทำให้ผู้คนทั้งโลกอยากใช้ Google ในการค้นหาข้อมูลเพื่อให้ได้คำตอบดีที่สุด ต่อไปเรื่อยๆ เรียกได้ว่าเขาสามารถทำให้ผู้คนใช้งาน google เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันไปแล้ว

หากเราอยากเห็นเว็บตัวเองติดอันดับหน้าแรก เราก็ต้องทำเว็บของเราให้ผ่านเกณฑ์ที่ Google ได้วางเอาไว้

องค์ประกอบต่างๆ ที่ทาง Google ได้กำหนดเอาไว้เป็นสิ่งจำเป็นและควรมี มีอะไรบ้าง … 
2.1 : ต้องรองรับ Mobile Friendly 
2.2 : การเขียนบทความคุณภาพ 
2.3 : เวลาที่ใช้บนเว็บไซต์
2.4 : จำนวนผู้เข้ามายังหน้าเว็บไซต์เรา

3. ในการจัดอันดับเว็บไซต์ต่างการสร้าง Traffic พาคนมายังเว็บไซต์ของเรา

images (2)
– หมายถึง … เมื่อเราเขียนบทความเสร็จ ทุกอย่างยังนิ่งสนิท ไม่มีใครเห็นบทความของเราแน่นอน สิ่งที่เราต้องทำเป็นลำดับต่อไปคือ … การสร้าง Traffic พาคนเข้ามาเว็บของเราให้ได้ แต่ละคนย่อมมีวิธีการสร้าง Traffic แตกต่างกันไป

4. เชื่อมต่อเว็บไซต์เข้ากับ Google Search Console 

Screen-Shot-2015-05-20-at-11.22.06
– หมายถึง .. ให้เราเข้าใจวิธีการที่ Google ดูเว็บไซต์ของเราและเพิ่มโอกาสให้เว็บของเราติดหน้าแรกได้ง่ายขึ้นนั้นเอง

5. ส่ง Sitemap ไปให้ Google ทำเว็บของเราให้เป็น 

Coaching Sitemap Illustration
– หมายถึง … ระบบเนื้อหาหน้าเว็บไซต์ของเรา ที่เราสามารถส่งไปเพื่อบอก Google หรือ Search Engine อื่นๆ เพื่อให้โปรแกรมรวบรวมข้อมูลเว็บ เช่น Google Bot สามารถรวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ของเราได้ง่ายขึ้นนั่นเอง

หากเว็บไซต์ของเราเป็นเว็บใหม่ และยังไม่มี Backlink คุณภาพมาจากเว็บอื่นๆ การส่ง Sitemap ไปให้ Google เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง หากเราคาดหวังที่จะเห็นเว็บตัวเองติดหน้าแรก ในเวลาอันใกล้

6. ทำเว็บของเราให้เป็น https:// 

http-https
– หมายถึง … คือ การเข้ารหัสข้อมูลบนเว็บไซต์ของเรา เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการสื่อสารหรือส่งข้อมูลบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ช่วยให้ Google มองว่าเว็บเรามีคุณภาพ ใส่ใจเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้า การจัดอันดับเว็บเราก็จะดีขึ้นได้ เพราะแนวโน้มเชื่อว่า Google จะให้น้ำหนักเกี่ยวกับการทำเว็บให้ปลอดภัยเพิ่มมากขึ้นด้วย

 

สุดท้ายบทความนี้ ผมขอฝาก Infographic 16 ขั้นทำ SEO บนเพจสุดเพอร์เฟ็กต์ เป็นของแถมให้ทุกท่านที่อ่านบทความนี้จนจบ

SEO_Marketing_Infographic-2

 

เพิ่มโอกาศรอดชีวิตด้วยกำไร QR Code ข้อมูลประจำตัวทางการแพทย์ เพื่อคนที่คุณรัก …


เมื่อสัก 2-3 อาทิตย์ที่ผ่านมา ผมพาคุณพ่อไปหาหมอที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน เพื่อขอให้ตรวจเช็คร่างกานและการทำงานของสมอง เนื่องจากท่านมีอายุ 93 ปีแล้ว เริ่มมีอาการหลงลืมชั่วขณะ ประกอบการเดินและทรงตัวที่ไม่ค่อยดีนัก หลังจากตรวจเสร็จ ได้พูดคุยปรึกษากับคุณหมอถึงวิธีการดูแล ซึ่งคุณหมอท่านก้ให้คำแนะนำหลายข้อมาก แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ อย่าปล่อยให้อยุ่คนเดียว หรือไปไหนมาไหนคนเดียว เพราะอาจหลงลืมทางกลับบ้านหรือเกิดหกล้มขณะเดินได้
ระหว่างนั้นทำให้ผมคิดในใจน่าจะมีเครื่องมือติดตามตัว หรือตัวช่วยอะไรสักอย่างที่เข้ามาเป็นผู้ช่วยเราในยามที่เราไม่ได้อยู่ด้วย เพราะพ่อผมเป็นคนไม่อยู่นิ่ง ชอบไปเดินนอกบ้านประจำ

เมื่อกลับถึงบ้านนั่งหาข้อมูลทางการแพทย์ ค้นหาไปค้นหามา จนมาเจอกำไล QR CODE เลยเข้าไปอ่านข้อมูลและศึกษาอย่างจริงจัง พบว่า … นี่แหล่ะคือสิ่งที่เราอยากได้ !  จึงได้ติดต่อสอบถามและสั่งซื้อมาลองใช้งาน

kp

มันคือ … กำไลบนข้อมือ ห๊ะ! กำไลบนข้อมือเหรอ ใช่ครับ โดยเจ้าตัวกำไล QR Code นี้ มีชื่อเรียกเต็มว่า Midatbyrun โดยตัว QR Code จะถูกสลักโดยเลเซอร์ลงไปบนแผ่นที่เรียกว่า stainless steel มันสามารถเก็บข้อมูลได้เยอะกว่าการแท็กแบบตัวอักษรที่สลักลงไปมากมายนัก และยังสามารถแสกนด้วยสมาร์ทโฟนได้อีกด้วย

เหตุผลหลักที่ทาง Midat แท็กประเภทกำไล QR Code เพราะว่ากำไลสามารถสวมใส่ง่ายและสามารถสวมใส่ได้ทุกวัน โดยที่ผู้สวมใส่สามารถลืมไปได้เลยว่าได้สวมใส่อยู่ และ ตัว QR Code ยังสามารถแสกนโดยสมาร์ทโฟนที่ทุกคนมีติดตัวในยุคนี้ ในส่วนของ กำไล QR Code ข้อมูลสุขภาพประจำตัวทางการแพทย์ของเรามีความทนทานและตัว QR Code ไม่จางหายไปง่ายๆเนื่องจากเป็นการสลัก และ ทำหน้าที่เป็นประตูเข้าสู่ข้อมูลประจำตัวทางการแพทย์ของผู้สวมใส่ เพื่อในสถานการณ์ฉุกเฉินผู้ให้ความช่วยเหลือ คุณหมอหรือหน่วยกู้ภัยสามารถเข้าช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็วและถูกวิธี

5n

การใช้งานก็ไม่ยุ่งยากอะไร เพราะเชื่อว่าเดี๋ยวนี้ทุกคนมี Smart Phone กันอยู่แล้ว แถมแทบทุกรุ่นติดตั้งแอพสแกน QR Code ติดมาใน Smart Phone ด้วย ทำให้ผู้ช่วยเหลือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาสแกนได้รวดเร็ว ทันใจ จริงๆ

ตัวอย่างที่คนอาจจะรู้บางคนอาจจะไม่รู้คือแอพ Google Chrome แอพนี้ในเวอชั่นล่าสุด จะมี QR Code Scanner ฝังอยู่ในตัวด้วย ทำให้ผู้ช่วยเหลือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาสแกนได้รวดเร็ว ทันใจจริงๆ ผู้ใช้งานสามารถล็อกอินเข้าไปที่ MIDAT Cloud ของเราที่ app.midatdb.com จากนั้นสามารถกรอกข้อมูลต่างๆ ได้ด้วยตัวเองและบันทึกลงเป็นโปรไฟล์ของผู้ใช้งานเลยและก็ทำการเชื่อม QR Code เข้ากับโปรไฟล์ของคุณได้ทันที แถมยังสามารถอัพเดทข้อมูลได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง

de

ออกแบบแพ๊คเก็จได้เป็นอย่างดี พร้อมมีคำอธิบายวิธีการใช้งาน ไม่ยุ่งยาก

ตัววัสดุและการออกแบบ ทำออกมาได้ดี กันน้ำ กันสนิม ไม่ลอกง่ายๆ

กำไล QR CODE เหมาะกับใคร ใครควรใช้งาน ?

– ผู้ที่มีอาการหรือโรคต่างๆ  ที่อาจส่งผลอันตรายต่อชีวิต ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่แพ้อาหาร/ยา
– ผู้ที่มีปัญหาการเต้นของหัวใจ ,ผู้ที่เป็นโรคไตวาย ,โรคปอด ,โรคเลือดไม่แข็งตัว ,ถุงลมโป่งพอง , ความดันโลหิตสูง ,โรคเม็ดเลือดแดงรูปเคียว ,โรคลมชัก ,หูหนวก/บกพร่องทางการได้ยิน
– ผู้ผ่านการผ่าตัด/ผู้ป่วยมะเร็ง
– ผู้ทดลองประสิทธิภาพยา ,ผู้ที่รับประทานยาหลายชนิด ,ผู้ป่วยโรคโลหิตจาง
– เด็กพิเศษ/ออทิสติก
– ผู้มีความเสี่ยงในโรคหลอดเลือดในสมองตีบ/ตัน ,โรคกล้ามเนื้อเคลื่อนไหวโดยไม่ตั้งใจ
– ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยอัลไซเมอร์ ฯลฯ

หลายคนอ่านมาถึงตรงนี้ คงอยากรู้ อยากดูวิธีการใช้งานแล้วสินะ งั้นตามอ่านกันต่อเลย …

a

1. ล็อกอินเข้าสู้ระบบ Midat Cloud
ผู้ใช้งาน เข้าไปที่ https://app.midatdb.com แล้วล็อกอินเพื่อเข้าสู่ระบบของเรา หลังจากนั้น จะเข้าสู่หน้าโปรไฟล์ โดยผู้ใช้งานสามารถเลือกวิธีการล็อกอินได้ 4 วิธีคือ ล็อกอินด้วยเบอรืมือถือ หรือผ่าน Google+ , Facebook หรือ Twitter

2. กรอกข้อมูลต่างๆ บนหน้าโปรไฟล์ของคุณ
ยกตัวอย่างเช่น โรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา ประวัติการผ่าตัด
ผู้ใช้งานสามารถเลือกที่จะกรอกข้อมูลเองได้ เราไม่มีการบังคับการกรอกข้อมูลแต่อย่างใด ผู้ใช้งานจะต้องตระหนักว่าการกรอกข้อมูลใน MIDAT Cloud นั้น เราถือว่าเป็นข้อมูลสาธารณะ เพราะว่าถ้าหากว่าผู้ใช้งานโดนสแกนกำไลเพียงครั้งเดียว คนที่สแกนอาจจะเอาข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งานไปเปิดเผยได้ เราจึงขอให้ผู้ใช้งานกรอกข้อมูลอย่างระมัดระวัง
หลังจากกรอกข้อมูลเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้กดปุ่ม “บันทึก” สีแดง

 

3. เมื่อได้รับกำไล QR Code ข้อมูลประจำตัวทางการแพทย์ที่ได้รับการรับรองจาก MIDAT แล้ว เข้าไปยัง www.midatdb.com เพื่อทำการลงทะเบียน

3.1 ในเหตุฉุกเฉินผู้ให้ความช่วยเหลือสามารถแสกน QR Code บนแท็กในกำไลของคุณเพื่อทราบเกี่ยวกับข้อมูลสุขภาพเบื้องต้นเพื่อให้ความช่วยเหลือ

3.2 เมื่อได้ถูกแสกนแล้วผู้แสกนยังสามารถกดปุ่ม Emergency หรือขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญภายในพื้นที่ได้อีกด้วย เท่านี้คุณก็เชื่อมต่อสำเร็จเรียบร้อยแล้ว

วิธีการปรับสายกำไล QR Code Midat Slim ให้พอดีกับข้อมือขนาดเล็ก

ไม่ต้องเป็นกังวลกับเรื่องขนาดของกำไล แม้ว่าคุณจะเป็นคนข้อมือเล็ก คุณก็สามารถปรับขนาดกำไล QR Code Midat Slim ให้พอดีกับข้อมือของคุณได้ง่ายๆด้วยอุปกรณ์ที่มีอยู่ในบ้าน เริ่มจาก

1.วัดขนาดให้สายกำไลให้พอดีกับข้อมือ

2.ใช้ไขควงขนาดเล็กหรือส้อม แงะตัวล็อคที่ติดอยู่กับสาย ดึงตัวล็อคออกมา แล้วตัดสายด้านใดด้านหนึ่งทิ้ง ให้เหลือความยาวตามที่ต้องการ *โดยอาจขลิบมุมสายให้โค้งมน เพื่อง่ายต่อการใส่ตัวล็อคกลับคืน

3.ใส่ตัวล็อคกลับเข้าตามเดิม และกดตัวล็อคให้แน่น เพียงเท่านี้คุณก็จะได้กำไลที่มีขนาดพอดีกับข้อมือ และสามารถใส่ได้สบายตลอดเวลา

 

การแจ้งเตือนของผู้สแกน
ผู้ที่มาสแกนผู้ใช้งาน อาจจะเป็นใครไม่รู้ เค้าอาจจะไม่รู้จักกำไล QR Code ด้วยซ้ำ หลังจากที่ผู้สแกน ได้ทำการสแกนผู้ใช้งาน เค้าจะเห็นปุ่ม “แจ้งเตือนญาติ” เป็นอย่างแรก และสิ่งต่อๆ ไปที่เค้าจะเห็น คือ เบอร์โทรฉุกเฉินต่างๆ ที่สามารถ กดคลิ๊กเดียวโทรได้เลย ถ้าหากว่าผู้สแกนกดปุ่ม “แจ้งเตือนญาติ” จริงๆ Midat Cloud ของเรา จะทำการส่งเบอร์โทรติดต่อกลับ และ ที่อยู่ปัจจุบัน ให้ญาติตาม Email ที่ผู้ใช้งานกรอกเอาไว้ ญาติของผู้เกิดเหตุจะได้รับเบอร์ติดต่อของผู้ที่สแกน และจะได้รับลิ๊งค์ Google Map ไปยังจุดหมายที่ญาติของผู้เกิดเหตุอยู่ จึงทำให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับญาติที่จะรีบไปช่วยเหลือ หรือ ติดตามผู้ใช้งานได้

คำเตือน : 
ฟีเจอร์นี้อาจจะทำงานไม่สำเร็จ 100% เนื่องจากการส่ง เบอร์โทรติดต่อ และที่อยู่ปัจจุบันของผู้สแกน จำเป็นต้องได้รับการอนุญาติของผู้สแกนเสียก่อน ถ้าหากว่าผู้สแกนไม่ยอมให้ข้อมูลดังกล่าวการส่ง แจ้งเตือน จะไม่มีผลใดๆ ในการช่วยเหลือต่อ

 

ภาพการทดลองใช้งานหลังการสแกน QR Code

จากการใช้งานมาได้ระยะนึง พบข้อดึและรอการปรับปรุง ดังนี้ …

ข้อดึของกำไล QR CODE
1. วัสดุและการออกแบบกำไล ทำออกมาได้ดีมาก
2. เก็บข้อมูลทางการแพทย์ด้วยระบบ Midat cloud และแสดงข้อมูลเมื่อเกิดเหตุที่ไม่คาดฝัน ประกอบไปด้วย 
– ข้อมูลฉุกเฉินต่างๆ
– ข้อมูลโรคต่างๆ
– ข้อมูลการแพ้ต่างๆ และกรุ๊ปเลือด
3. พกติดตัวได้สดวก ไม่ต้องถอดออก
4. กันน้ำ กันสนิม ไม่ลอกง่าย
5. เหมาะสำหรับคนที่มีโรคประจำตัว หรือ ผู้ที่มีอาการความจำเสื่อม และเด็กๆ ที่อาจจะพลัดหลงจากคนดูแลได้

ข้อเสียที่รอการปรับปรุง
1. การลงทะเบียนการใช้งานผ่านเว็บบราวเซอร์  ยังไม่มีแอพพลิเคชั่นของตัวเอง
2. การกรอกข้อมูลไม่สามารถสมัครหรือลงทะเบียนได้โดยตรงทางแอพ หรือ เว็บผู้ให้บริการ ต้องสมัคร หรือ login ผ่านทาง facebook , Twitter , Google+ เท่านั้น อย่างพ่อผมท่านไม่เล่น social ทำให้ผมต้องใช้ id ผมเอง ถือเป็นข้อจำกัดมาก
3. การใส่รูปโปรไฟล์ พบ bug อนู่ ใส่รูปแนวตั้งไป แต่แสดงผลแนวนอน และไม่สามารถปรับแต่งรูปได้ เช่นย่อขยาย หรือปรับแนวนอนแนวตั้งได้
4. เมื่อลองยิง QR Code แสดงลิงค์ และต้องกดเจ้าไปที่ลิงค์อีกที มันไม่เหมาะกับมือใหม่หรือผู้ใช้งานมือถือไม่เก่ง อยากให้ไปที่หน้าโปรไฟล์เลย
5. แนะนำอยากให้เพื่มในส่วนสามารถกดโทรออกได้เลย ไม่ต้องมานั่งจำเพื่อโทรออกอีกครั้ง
6. อยากให้เชื่อมต่อกับเบอร์สายด่วนฉุกเฉินได้ เช่น 1669 และอาจมีลิงค์ให้เชื่อมกับ รพ ใกล้เคียงได้ ซึ่งข้อนี้อยากให้ทำลงผ่านแอพ น่าจะเป็นไปได้มากสุด
7. ในส่วนการออกแบบ ux ยังดู งงๆ

Update ล่าสุด
– เพิ่มการลงทะเบียนหรือ Login ด้วยเบอร์มือถือได้
– กำลังเปิดตัวแอพพลิเคชั่น เร็วๆ นี้

 

ในส่วน Privacy และ Security ของ MIDAT Cloud หล่ะเป็นอย่างไร ?

เรื่องของ Privacy และ Security ของ MIDAT Cloud นั้น Midat มีระบบป้องกันการจำลองการสแกนข้อมูลซ้ำๆ อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้งาน ต้องตระหนักว่า ถ้าผู้ใช้งานโดนสแกนเพียงครั้งเดียว ผู้ใช้งานมีโอกาศถูก ผู้สแกนนำข้อมูลไปทำในสิ่งที่ผิดๆ หรือนำเอาลิ๊งค์ ไปเปิดเผยให้สาธารณะได้

ทาง MIDAT มี มาตราการในการจัดการระดับที่ได้มาตราฐานในการช่วยให้ผู้ใช้งานเพื่อรักษาข้อมูลของผู้ใช้งานให้ถึงที่สุด

เมื่อผู้ใช้งานถูกสแกนผู้ใช้งานควรแจ้งผู้ที่มาช่วยว่า กรุณาอย่าเอาลิ๊งค์ของผู้ใช้งานไปเผยแพร่เพราะว่าการที่เอาลิ๊งค์ไปเผยแพร่เท่ากับว่าจะยิ่งเป็นการประกาศข้อมูลของผู้ใช้งานให้เป็นสธารณะ ถ้าหากว่าผู้ใช้งานไม่สามารถบอกกับผู้ที่หวังดีมาช่วยได้ว่าห้ามนำไปเผยแพร่ให้ผู้อื่นดูหรือมีคนแปลกหน้ามาสแกนบนกำไลข้องผู้ใช้งานเราแนะนำให้ติดต่อ MIDAT Support ของเราที่ facebook.com/midatdb  เพื่อทำการอายัด QR Code ทันทีจากนั้นผู้ใช้งานไม่ควรนำกำไลไปให้ใครต่อและควรเปลี่ยนเลือนใหม่มาใช้เพื่อความปลอดภัย

 

สนใจสามารถสั่งจองสินค้าได้ที่ตัวแทนจำหน่าย MIDAT by Run ได้เลยที่
– Facebook :  www.facebook.com/midatbyrun
– Line@: https://line.me/R/ti/p/%40izx0769c

การเชื่อมต่อข้อมูลสุขภาพกับกำไลและวิธีปรับขนาดสายข้อมือสามารถชมได้ที่ http://www.midatdb.com/setup

ถ้ามีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อผมโดยตรงได้ที่  0869711683 , 0657265624‬‬

ราคาขายเส้นละ 350 บาท

 

เนื่อหาและรูปภาพรวมทั้งวีดีโอประกอบในบทความนี้ บางส่วนนำมาจากเว็บ  www.midatdb.com

การแบ่งประเภท “Social Media Monitoring Tools”


ในปัจจุบันเอเจนซี่ก็ดี แบรนด์เองก็ดี ต่างก็ใช้เครื่องมือ (Monitoring Tools) มาบริหารจัดการ Social Media ต่าง ๆ กันแทบทุกองค์กร แต่อาจแตกต่างกันไป เช่น อาจเป็นรูปแบบ Social Analytics ผสมกับ Social Manegement หรือรูปแบบ Social Listening ผสมกับ Social Influencer หรือรวมเอาทุกอย่างมารวมเป็น Tools เดียวกันก็มี

จึงเกิดคำถาม ว่าการแบ่งประเภทของเครื่องมือบน Social Media หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า … “Social Monitoring Tools”  แบ่งได้กี่รูปแบบ มีอะไรบ้าง ถือว่าเป็นคำถามที่ดี เป็นคำถามที่น่าสนใจ หลาย ๆ คนคงอยากรู้  เลยเขียนสรุปแบบย่อ ๆ ให้เข้าใจง่าย ๆ ดังนี้ …

Social Listening –  เครื่องมือที่ทำให้เราสามารถรับฟังสิ่งที่ผู้บริโภคพูดบนโลกออนไลน์ หรือใช้ในการค้นหาหรือเก็บข้อมูลเสียงของผู้บริโภคที่เราให้ความสนใจ วัตถุประสงค์เพื่อรับฟังเรื่องราวและประเด็นต่าง ๆ เรื่องที่เราสนใจ ในช่วงเวลาที่ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นการพูดถึงแบรนด์ สินค้า กิจกรรม หรือแม้กระทั่งบุคคล เพื่อทำให้เรารู้ว่า … ใครกำลังพูดอะไร พูดอย่างไร โดยทั่วไปมักจะใช้วิธีการจับจากคีย์เวิร์ดที่ต้องการ  

Social Management – เครื่องมือที่ใช้บริหารจัดการ social media ต่างๆ ของเรา เช่น Facebook , Twitter หรือ Instagram โดยปกติแล้วหากเราต้องรับคำถามหรือความคิดเห็นจากลูกค้า เราต้องเปิดเข้าไปดูทีละช่องทาง แต่ระบบ Social Management สามารถรวบรวมคำถามหรือความคิดเห็นจากหลายๆ ช่องทางมาที่ช่องทางเดียวและยังมีระบบในการตอบคำถามไปยังช่องทางอื่นๆ ได้ทันที

Social Marketing – เครื่องมือที่ใช้ในการสร้าง บริหารจัดการ และวัดผลการทำแคมเปญต่างๆ บน Social Media ในบางครั้งเราต้องเสียค่าใช้จ่ายและเวลาในการบริหารจัดการต่างๆ เช่น ค่าเวลาในบริการจัดการ ค่าเวลาในการจัดทำรายงาน ซึ่งต้นทุนเหล่านี้บ่อยครั้งมีมูลค่ามากกว่าของรางวัลที่จะแจกเสียอีก ระบบ Social Marketing จะช่วยลดค่าใช้จ่ายและระยะเวลาเหล่านี้ลงไปได้มาก

Social Analytics – เครื่องมือที่ใช้ในการวัดผลตัวเลขสถิติบน social media ต่างๆ เช่น จำนวนแฟนเพจ หรือ Engagement บน Facebook จำนวนผู้ติดตาม ซึ่งในเครื่องมือต่าง ๆ เหล่านี้จะมีการแสดง Metric หรือค่าชี้วัดต่าง ๆ อาจจะเป็นจำนวนตัวเลขสถิติหรือว่าค่าที่เป็นสูตรต่างๆ เพื่อช่วยให้เราเข้าใจข้อมูลที่เกิดขึ้นบน Social Media ของเราและคู่แข่ง 

Social Influencer – เครื่องมือที่ใช้วัดความมีอิทธิพลของโปรไฟล์ต่าง ๆ ซึ่งในเครื่องมือแต่ละเจ้า ก็จะมีวิธีการคำนวณหรือสูตรที่ใช้คำนวณแตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่นใน twitter ก็จะใช้ตัวเลข Follower, จำนวนการ Tweet, ระยะเวลาที่ใช้งาน หรือแม้กระทั่งดูแนวโน้มว่าทวีตของโปรไฟล์นั้นๆ มีการถูก Retweet บ่อยกว่า เป็นต้น

ปัจจุบันในท้องตลาดทั้งในและต่างประเทศ มีเครื่องมือ “Social Media Monitoring Tools”  อาจมีมากถึง 100 ตัว มีทั้งแบบเสียเงินและแบบฟรี หรือแม้แต่ให้ทดลองใช้ ถ้าชอบค่อยซื้อตัวเต็ม แต่จำกัดการใช้งาน ส่วนฟีเจอร์เด่น ๆ อยากได้ต้องซื้อตัวเต็มไป ผมจะขอคัด Tools ที่คิดว่าใช้งานไม่ยาก มีทั้งแบบให้ใช้ฟรี หรือ ราคาไม่แพงจนเกินไป และเหมาะสมกับการใช้งานของคนไทยที่จะเน้น Facebook , Instagram , Twitter และ LINE เป็นหลัก โดยแบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ …

1. Social Monitoring Tools

2. Social Listening Tools

3. Social Media Tools

4. Social Commerce Management Tools

โดยขออธิบายสั้น ๆ แบบกระชับดังนี้ 

1. Social Monitoring Tools สัญชาติไทยแท้

ZocialEye : ผมขอไม่อธิบายถึงเครื่องมือนี้ ผมเชื่อว่านักการตลาดทั้งมือใหม่ มือเก่า รู้จักกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว 

screen-shot-2560-01-26-at-14-53-18

Thoth Media : เป็น Social Monitoring ของบริษัท Thoth Media มีการปรับหน้าตาใหม่ มีการแสดงผลหลายๆ อย่างได้ละเอียดขึ้น เช่น Market Overview , Brand Overview , Sentiment And Share of Voice

screen-shot-2560-01-26-at-14-35-10

OBVOC : เป็นเครื่องมือในการทำ Brand Monitoring ของบริษัท startup สัญชาติไทยที่ชื่อว่า Onebit Matter  ซึ่งล่าสุด !  Thoth Zocial  vs OBVOC  ประกาศควบรวมธุรกิจด้านการวิเคราะห์ข้อมูลออนไลน์ ร่วมกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อ 2 วันที่ผ่านมา

screen-shot-2560-01-26-at-14-38-49

SocialEnable : มีความสามารถพิเศษตรงที่เป็นทั้ง Social Monitoring และเป็นเครื่องมือในการตอบลูกค้าได้เลยทันที พร้อมที่จะนำไปปรับใช้กับฝ่ายบริการลูกค้าของบริษัทได้เลย 

screen-shot-2560-01-26-at-14-48-53

Zanroo Social Listening : เป็น Brand Monitoring ที่ใช้ควบคุมจัดการ Crisis Management, Trend Monitoring, CRM, Competitor Analysis นอกจากนี้ยังมี Zanroo Social Engagement ที่ใช้จัดการ Social Media Accounts ของเรา 

screen-shot-2560-01-26-at-14-51-29

 TH3RE  เป็น Listening Tools ที่จะนำเอา Big data technology เข้ามาช่วยให้องค์กรได้เห็น Awareness ของ Brand และเข้าใจผู้บริโภคมากขึ้นจากผู้คนที่พูดถึงสินค้า หรือบริการ โดยมีรูปแบบของกราฟ และการแสดงผลให้เลือกมากมาย ซึ่งสามารถนำมาสร้างเป็น Warroom หรือ Command Centre ของตัวเองได้ทันที 

screen-shot-2560-01-26-at-14-50-04

2. Social Listening Tools

ViralHeat : เป็นเครื่องมือที่ออกแบบมาเพื่อทุกธุรกิจไม่ว่าจะเป็นบริษัทใหญ่หรือเล็ก ทำงานร่วมกันกับ Google Analytic รายงานผลข้อมูลทางประชากรศาสตร์ ผู้มีอิทธิพลต่อแบรนด์ และจำนวนทราฟฟิก รวมถึงยังสามารถวิเคราะห์ข้อมูลทางอารมณ์หรือความรู้สึกได้เหมือนเครื่องมืออื่นๆ ให้คุณทราบถึงปัจจัยที่ส่งผลดีและไม่ดีต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์

52907-viralheat1

DataSift : เครื่องมือวิเคราะห์การทำงานของเว็บโซเชียลแบบเรียลไทม์ ซึ่งข้อความสำคัญต่างๆ ที่ผู้บริโภคพูดถึงแบรนด์จะถูกจัดเก็บไว้ในระบบ ช่วยให้นักการตลาดสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์กำหนดทิศทางทางการตลาดได้

screen-shot-2560-01-26-at-14-30-26

Sysomos : เครื่องมือช่วยจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลการสนทนาบนสื่อออนไลน์ของผู้บริโภค ช่วยให้ทราบถึงสิ่งที่ผู้บริโภคบนโลกออนไลน์พูดถึงอย่างเจาะลึก เลือกดูได้ตามเพศ ช่วงอายุ ที่คุณสามารถเข้าถึงได้อย่างสะดวกและรวดเร็วผ่านระบบ Interface ที่เรียกว่า Heartbeat

screen-shot-2560-01-26-at-14-08-04

TweetReach : เครื่องมือช่วยวัดประสิทธิภาพของแต่ละข้อความที่ได้ทวีตผ่านทาง Twitter รวมทั้งยังวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ควรจะเจาะกลุ่มเป้าหมายไหน อย่างไร และเมื่อไรภายในระบบ Interface นี้

screen-shot-2560-01-26-at-14-21-28  screen-shot-2560-01-26-at-14-21-38

3. Social Media Tools

Crowdbooster : ถือว่าเป้นเครื่องมือชั้นดีของ Facebook  และ Twitter  ของคุณ เพราะมันจะคอยบอกว่าผู้ติดตามบน Page หรือ Account คนไหนที่ชอบมาไลค์ คอมเมนต์ แชร์ มากที่สุด และตัวระบบเองก็จะคอยเสนอแนะวิธีการทำให้ Page หรือ Account ของคุณดีขึ้นอีกด้วย แต่มันรองรับเฉพาะแค่ Facebook กับ Twitter เท่านั้น

screen-shot-2560-01-26-at-15-31-59

Social.gg : เป็นเครื่องมือฟรีซึ่งถูกสร้างโดยบริษัทสัญชาติไทยที่ชื่อว่า Computerlogy  หลักการทำงานของมันก็คือตัวระบบจะดึงข้อมูล Social ของทั้งประเทศไทยมา แล้วดูว่าเรื่องไหนกำลังเป็นกระแส แล้วก็นำเรื่องเหล่านั้นมาจัดเรียงเป็นหมวดหมู่ ใครที่ทำสายข่าวอยู่ เครื่องมือนี้น่าจะช่วยให้หาข่าวได้ง่ายขึ้นเยอะเลย 

screen-shot-2560-01-26-at-16-20-59

Goo.gl : เป็นของฟรีจาก Google มันเป็น Tools ที่ใช้ง่ายมากๆ ส่วนข้อด้อยก็คือ มันฟีเจอร์มันน้อยเกินไป ทำได้แค่ทำ URL ให้สั้นลง และก็วัดจำนวนคลิ๊กได้นิดหน่อย

screen-shot-2560-01-26-at-16-24-40

Buffer : เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือจัดการ Social Media ที่มีคนรู้จักมากที่สุดในโลก ข้อดีของเจ้าเครื่องมือนี้คือ มันจะโฟกัสอยู่แค่อย่างเดียวก็คือการทำยังไงก็ได้ให้ลูกค้าสามารถ Publish โพสต์บน Facebook, Twitter, Google+, Linkedin, Pinterest และ Instagram ของตัวเองได้ง่าย เร็วและดีที่สุด เพราะฉะนั้นแล้วมันน่าจะถูกเรียกว่า Social Media Publishing Tool ซะมากกว่า ข้อเสียเจ้า Tools นี้คือเรื่องราคา ที่มีราคาสูงไป

screen-shot-2560-01-26-at-16-32-09

Coschedule : มันเป็นเครื่องมือที่ค่อนข้างเฉพาะทาง เหมาะสำหรับ Blogger, Marketer และ Publisher ที่สร้างคอนเทนต์จำนวนมหาศาล ซึ่ง Tools ตัวนี้จะเชื่อมต่อเข้ากับ WordPress, Evernote, Google Docs และ Social Media (Facebook, Twitter, Google+, Linkedin, Tumblr และ Pinterest) และจะทำให้เราสามารถตั้งเวลาในการปล่อย Content และเห็นภาพแผน Content ทั้งหมดของเราได้บน Platfrom เดียว ใครที่ใช้ WordPress ในการทำเว็บไซต์ และมีการผลิต Content จำนวนมาก Tools ตัวนี้น่าจะตอบโจทย์มากๆ เลยข้อเสียคือ ทดลองใช้ได้ฟรี เพียงแค่ 14 วัน 

screen-shot-2560-01-26-at-17-20-53

Hootsuite : เป็น Social Media Management Tool ตัวที่ดัง และ ครบเครื่องที่สุดไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการ Publish คอนเทนต์ลงบน Social Media, การจัดการกับข้อความ และคอมเมนต์, การสร้างแคมเปญ และอื่นๆ อีกมากมาย ข้อดีคือ เริ่มต้นใช้งานมันได้ฟรี ส่วนราคาแบบพรีเมียมนั้นก็เริ่มต้นในราคา $9.99 ซึ่งถือว่าถูกมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่มันทำได้

screen-shot-2560-01-26-at-17-25-40

IFTTT (If This, Then That) : เป็นเครื่องมือที่ฟรี ! ช่วยเชื่อมต่อแอพพลิเคชั่นดังๆ ต่างๆ กว่า 500 แอพเข้าด้วยกัน และช่วยให้แอพต่างๆ ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่าง 

คุณสามารถส่งโพสต์ของ Facebook ไปยัง Twitter ได้ ด้วย Hashtag เฉพาะ (อย่างของ ดิจิทัลเตาะแตะ ถ้าโพสต์ไหนบน Facebook เราใส่ Hashtag ว่า #ดิจิทัลเตาะแตะ ตัวโพสต์จะถูกส่งไปยัง Twitter, Google+ และ Linkedin โดยอันโตมัติ

screen-shot-2560-01-26-at-17-32-16

4. Social Commerce Management Tools

Page 365 : เป็นระบบบริหารจัดการร้านค้าออนไลน์ บน Platfrom Facebook, Instagram และ LINE ซึ่งจะช่วยให้คุณคุยกับลูกค้าง่ายขึ้น เปิดบิลง่ายขึ้น รวมไปถึงการปิดการขาย และส่งของไปให้ลูกค้า

Page 365 Express : ที่ช่วยให้การส่งของผ่านไปรษณีย์ไทยง่ายขึ้นอีกด้วย แต่น่าเสียดายที่ไม่มีระบบการบริหารคลังสินค้าซึ่งมันจำเป้นมาก ๆ สำหรับการขายของออนไลน์ รวมทั้งหน้าตาของเว็บไซต์ที่มีปุ่มให้เลือกกดมากเกินไปทำให้ผุ้ใช้มือใหม่ ต้องเสียเวลาในการทำความเข้าใจสักระยะ

screen-shot-2560-01-26-at-17-42-58

Sellsuki : เป็นเครื่องมือที่ทำงานลักษณะเดียวกันกับ  Page 365 เจ้า Tools ตัวนี้สามารถบริหารจัดการคลังสินค้า รวมทั้งพูดคุยกับลูกค้าบน Facebook และ LINE รวมไปถึงช่วยให้การเปิดบิลปิดการขายสะดวกง่ายดายมากยิ่งขึ้น จุดเด่นคือ หน้าตาเว็บไซต์ที่ใช้งานง่าย มีระบบบริการจัดการคลังสินค้าที่จะทำให้รู้ว่าคุณมีสินค้าอยู่เท่าไหร่ รวมทั้งมีระบบบันทึกออเดอร์ และแจ้งชำระเงินออนไลน์, ระบบ Tag และระบบแจ้งรหัสพัสดุให้กับลูกค้า ที่สำคัญที่สุดคือ ฟรี ! 

screen-shot-2560-01-26-at-17-49-08

ของแถมครับ เป็น Tools Image Editor

Pablo : จุดเด่นเจ้า Tools ตัวนี้ จะช่วยปรับแต่งขนาดรูปภาพให้เหมาะสมกับ Social Media ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Twitter, Instagram และ Pinterest แล้ว คุณยังสามารถใส่ Filter, Text หรือ Logo แบรนด์ของคุณลงไปได้อีกด้วย แถมยังสามารถค้นหารูปภาพฟรี ไม่ติดลิขสิทธ์กว่า 6 แสนรูปภาพได้ผ่าน Pablo เลย 

screen-shot-2560-01-26-at-17-35-56

ผุ้อ่านท่านใดสนใจ Tools ตัวไหน ก็สามารถหาศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมผ่านทางเว็บไซด์ที่ผมใส่ลิงค์ไปให้ได้นะครับ

ข้อมูล Social Media Monitoring Tools เพิ่มเติม

– Top 15 Free Social Media Monitoring Tools

– 6 Social Media Monitoring Tools to Track Your Brand

– The Top 25 Social Media Monitoring Tools

– 46 Free Social Media Monitoring Tools to Improve Your Results

– 23 Tools for Social Media Monitoring