มาเช็กโหงวเฮ้ง ‘หน้าผาก’ บอกนิสัย ตัวตน กันเถอะ


เช็กโหงวเฮ้ง ‘หน้าผาก’ บอกนิสัย ตัวตน ธาตุแท้ลึกๆ เชื่อว่าสามารถบ่งบอกถึงความสามารถของระดับสติปัญญา ครอบครัว ผู้อุปถัมภ์ ผู้ให้กำเนิด รวมทั้งสามารถบอกลักษณะนิสัยว่าเป็นคนแบบไหนได้ ซึ่งลักษณะของหน้าผากแต่ละแบบนั้น สามารถบอกได้ถึงลักษณะนิสัยที่ซ่อนอยู่ลึก ๆ ได้เป็นอย่างดี

1.หน้าผากโค้ง คนที่มีหน้าผากโค้ง มักเป็นคนเปิดเผยจริงใจ นิสัยตรงไปตรงมา ไม่มีลับลมคมใน ที่สำคัญคนที่มีหน้าผากโค้งได้รูปมักโกหกไม่ค่อยเนียน จับผิดง่ายเพราะถ้ารู้สึกอะไรมักจะแสดงออกมาอย่างนั้น

2.หน้าผากกว้าง คนที่มีหน้าผากกว้าง มักเป็นคนที่เรียนรู้เร็ว ฉลาดเป็นกรด มีความสามารถ มีเหตุผล และมักเป็นที่รักของคนรอบข้าง

3.หน้าผากตรง คนที่มีหน้าผากตรง เป็นคนตรง ใจกว้าง รอบคอบ มุ่งมั่นตั้งใจทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว เหมาะที่จะทำธุรกิจ เพราะถ้าเป้าหมายอะไรจะพยายามไปให้ถึงเป้าที่ตั้งเอาไว้เสมอ

4.หน้าผากแคบ คนที่มีหน้าผากแคบ เป็นคนที่ชอบเก็บความรู้สึก คิดมาก เจ้าอารมณ์

5.หน้าผากสูงเหมือนภูเขา คนที่มีหน้าผากสูง เป็นคนจิตใจดี โรแมนติก มีเหตุผลและมีความคิดครีเอทสร้างสรรค์ มั่นใจในตัวเอง รักความก้าวหน้า นิสัยอ่อนโยน และทำในสิ่งที่รัก

6.หน้าผากโค้งเป็นรูปตัว M คนที่มีหน้าผากโค้งเป็นรูปตัว M มักเป็นคนซื่อสัตว์ ชอบลงมือทำมากกว่าพูด มีความรับผิดชอบ เข้ากับคนอื่นง่าย และเป็นคนที่มีจินตนาการที่ดี และที่สำคัญคนที่มีลักษณะหน้าผากโค้งหยักเป็นรูปตัว M เป็นคนที่เชื่อถือได้

7.หน้าผากซิกแซก คนที่มีลักษณะหน้าผากเป็นคลื่นมักเป็นคนดื้อ มีความคิดเป็นของตัวเอง ชอบเก็บตัว ไม่ถนัดเข้าหาคนอื่น แถมยังปากแข็ง จนบางครั้งทำให้ดูเป็นคนโลกแคบ

เรื่องราวย่อๆ ของหนังสือเรื่อง Animal Farm ที่แต่งโดย จอร์จ ออร์เวล (1903-1950)


D7uwlVZU8AEPHIw.png-large

ฟาร์มแห่งหนึ่ง ที่มีคนชื่อนายโจนส์ เป็นเจ้าของ ซึ่งนายโจนส์ไม่ใช่เจ้าของที่ดีนัก ขี้เกียจ และก็ขี้เมา ใช้งานแต่สัตว์ และในค่ำคืนหนึ่ง เมเจอร์ หมูอาวุโส ก็ได้ปาฐกถา แก่เหล่าสัตว์ทั้งหลาย โดยมีใจความสำคัญว่า … 

มนุษย์เอาแต่บริโภค แต่ไม่เคยผลิต มนุษย์เป็นศัตรู ที่หากเหล่าสัตว์กำจัดมันำปได้ ก็จะแก้รากเหง้าของปัญหา แห่งความเหนื่อยยากได้ . หลังจากนั้นไม่นาน เมเจอร์หมูชรา ก็เสียชีวิตไป โดยมีหมู 3 ตัว ทำหน้าที่สืบทอดเจตนารมณ์ของเมเจอร์ หมูสามตัวที่ชื่อ นโปเลียน สโนว์บอล และสเควลเลอร์ ได้นำพาเหล่าสัตว์ ขับไล่นายโจนส์ออกไปจากฟาร์มได้ในที่สุด และได้จัดทำบัญญัติ 7 ประการ ออกมา คือ …

1. อะไรก็ตามที่เดินด้วยสองขาคือศัตรู

2. อะไรก็ตามที่เดินด้วยสี่ขาหรือมีปีกคือมิตร

3. สัตว์จะต้องไม่สวมเสื้อผ้า

4. สัตว์จะต้องไม่นอนบนเตียง

5. สัตว์จะต้องไม่ดื่มสุรา

6. สัตว์จะต้องไม่ฆ่าสัตว์ด้วยกันเอง

7. สัตว์ทุกตัวเท่าเทียมกัน

โดยมีคติพจน์สั้นๆ ว่า “สี่ขาดี สองขาเลว” คือแบ่งแยกกันไปเลยว่างั้น

สโนว์บอล เป็นหมูที่มีความคิดสร้างสรรค์ พยายามที่จะสานต่ออุดมการ์ของหมูอาวุโส เมเจอร์ที่ลาจากโลกนี้ไป สเควลเลอร์ เป็นหมูที่มีวาทศิลป์ พูดกล่อมขายฝันเก่งมากๆ นโปเลียน เป็นหมูที่ต้องการอำนาจ แอบซ่องสุมเอาสุนัขมาเป็นกองกำลัง มีแกะทำหน้าที่คอยท่องคติพจน์ล้างสมอง แรกๆ หลังจากไล่มนุษย์ออกจากฟาร์ม ก็เหมือนจะดูดี และแล้วความขัดแย้งก็เกิดขึ้น 

ทุกๆ ครั้งที่สโนว์บอล เสนอไอเดียอะไรดีๆ ออกมา แกะของนโปเลียน ก็คอยประสานเสียงพูดคติพจน์ “สี่ขาดี สองขาเลว” แทรกอยู่นั่น นโปเลียนพยายามใช้คติพจน์ ทำให้เหล่าสัตว์อื่นๆ เกลียด และกลัวมนุษย์ มองว่ามนุษย์ คือ สิ่งเลวร้ายที่สุด และพร้อมยอมรับกับทุกอย่าง เพื่อป้องกันไม่ให้มนุษย์กลับมา

ครั้งหนึ่ง เหล่าสัตว์จับได้ว่า แอ็ปเปิล และนม กลับถูกแอบเม้มไปยังห้องของพวกหมู สเควลเลอร์ หมูยอดวาทศิลป์ จึงทำหน้าที่ไปกล่อมสัตว์ต่างๆ ว่า แอ็ปเปิล กับนม ที่หมูกินเข้าไป ก็เพื่อให้ร่างกาย และสมองแข็งแรง เพื่อที่ะได้คิดป้องกันไม่ให้นายโจนส์กลับมาไง ไม่กลัวว่านายโจนส์จะกลับมาหรอกหรือเควลเลอร์ เอาเรื่องมนุษย์มาขู่สัตว์อื่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนหมูกลายเป็นสัตว์ที่มีอภิสิทธิ์ เหนือสัตว์อื่น 

สโนว์บอล พยายามที่จะขายไอเดีย ที่จะให้เหล่าสัตว์สร้างนวัตกรรมกังหันลม เพื่อผ่อนแรงในการทำงาน แต่นโปเลียนไม่เห็นด้วย และอยากให้สัตว์ต่างๆ ทำงานต่อไป นโปเลียนพูดแต่ว่า เรื่องสร้างกังหันลม เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ก็ไม่มีเหตุผลอื่นใดมาหักล้าง . และแล้ววันลงมติ นโปเลียนก็แอบปล่อยให้ฝูงหมาที่ตัวเองเลี้ยงเอาไว้ มาไล่กัดสโนว์บอล จนสโนว์บอลหนีออกจากฟาร์มไปในที่สุด

สเควลเลอร์ ทำหน้าที่พูดกล่อมสัตว์อื่นๆ อยู่ตลอดเวลาว่า ถ้ากลัวนายโจนส์กลับมา ก็ต้องเชื่อฟังนโปเลียน  สเควลเลอร์วันๆ ก็คอยเอาตัวเลขมาเล่าให้สัตว์ต่างๆ อยู่นั่นว่า ผลผลิตเพิ่มขึ้นนะ แต่สัตว์ต่างๆ ไม่เคยตรวจสอบได้เลย ทำได้แค่เชื่อในสิ่งที่สเควลเลอร์ เอามาเล่า มื่อสัตว์ต่างๆ ได้รับการแบ่งปันผลผลิตที่น้อยลงเรื่อยๆ สัตว์ต่างๆ ก็เริ่มที่จะไม่เชื่อในสิ่งที่สเควลเลอร์พูดแต่ไม่เชื่อ แล้วจะทำไงได้ ในเมื่อมีฝูงหมาที่นโปเลียนเลี้ยงเอาไว้คอยขู่ฮึ่มๆ อยู่ตลอด

อยู่ดีๆ พวกหมู ก็ย้ายจากฟาร์มเข้าไปอยู่ในบ้านของมนุษย์ สัตว์ต่างๆ ต่างทักท้วงว่า นี่มันผิดข้อตกลงนี่นา ไหนว่าสัตว์จะไม่นอนบนเตียงไง . แต่พอไปดูที่บัญญัติ 7 ประการ ก็พบว่ามันถูกแอบแก้เป็น “สัตว์จะไม่นอนบนเตียง พร้อมสิ่งปกคลุม” เสียแล้ว

พวกหมูก็อ้างว่า ก็ขึ้นไปนอนบนเตียงเปล่าๆ โดยไม่มีผ้าห่มไง ก็ยังถูกต้องตามที่บัญญัติอยู่นะ ใครมีปัญหาอะไร!!! . แม้ว่าสโนว์บอล จะไม่อยู่แล้ว แต่ชื่อของสโนว์บอลกลับถูกนำมาพูดให้ร้ายอยู่เสมอๆ อะไรที่ไม่ดี ล้วนจะถูกพูดว่า เป็นฝีมือของสโนว์บอลทั้งสิ้น สัตว์ตัวใดที่คิดถึงสโนว์บอล หรือไม่เชือฟังนโปเลียน ต่างถูกลงโทษ จนในที่สุดก็มีการลงโทษจนถึงตาย

สัตว์ต่างๆ เริ่มโวยวายว่า “ไหนบัญญัติบอกไว้ไงว่า สัตว์จะต้องไม่ฆ่าสัตว์ด้วยกันเอง แล้วทำไมต้องฆ่ากันด้วย” แต่ก็มาพบภายหลังว่า บัญญัติข้อนั้น ได้ถูกแก้ไขเป็นว่า “สัตว์จะต้องไม่ฆ่าสัตว์ด้วยกันเอง โดยไร้เหตุผล” ไปเสียแล้ว . แถมข้อที่ว่า “สัตว์จะต้องไม่ดื่มเหล้า” ก็ถูกแก้เป็น “สัตว์จะต้องไม่ดื่มเหล้า มากเกินไป”

ยุคหลังจากนายโจนส์ภายใต้การนำของหมูนโปเลียน สัตว์ต่างๆ มีแต่ความยากลำบาก ทำงานหนักขึ้น ม้าที่ชื่อบ็อกเซอร์ เป็นม้าที่มีความหวังกับการปฏิวัติมากๆ อาสาทำงานหนักมาโดยตลอด พอมันป่วยกลับถูกนโปเลียนหลอกว่าจะพาไป รพ. แต่กลับส่งไปโรงฆ่าสัตว์ เพื่อแลกกับเงินค่าเหล้าของพวกหมู

สุดท้ายหมู ก็ลุกขึ้นมายืนสองขา พร้อมกับให้แก้เปลี่ยนคติพจน์ของฟาร์มเป็น “สี่ขาดี สองขาดีกว่า” . แถมบัญญัติข้อสุดท้าย ก็ถูกแก้ไขเป็น “สัตว์ทุกตัวมีความเท่าเทียมกัน แต่บางตัวมีความเท่าเทียมมากกว่าตัวอื่นๆ”

ฟาร์มที่พวกสัตว์ต่างๆ อาศัยอยู่ รวยขึ้น หรูหราขึ้น แต่พวกสัตว์ต่างๆ กลับไม่ได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเลย สัตว์ที่ร่ำรวย ก็มีแต่พวกหมู และฝูงหมา . ตอนนี้สัตว์ต่างๆ ในฟาร์ม แยกไม่ออกแล้วว่า พวกหมูนั้นต่างจากมนุษย์อย่างนายโจนส์อย่างไร จอร์จ ออร์เวลล์ นั้นชื่นชอบแนวคิดแบบสังคมนิยม แต่โจเซฟ สตาลิน กลับนำเอาแนวคิดอุดมคติของคาร์ลมาร์กซ์ และเลนิน ไปสู่การเป็นผู้นำเผด็จการ 

หมูอาวุโสเมเจอร์ คือ เลนิน

หมูนโปเลียน คือ สตาลิน

ฝูงหมา คือ กองทัพแดง

หมูสโนว์บอล คือ ทรอตสกี

หมูสเควลเลอร์ คือ โมโลตอฟ

ถ้าเปรียบเรื่อง Animal Farm กับบริบทประเทศไทย นี่คล้ายกับสิ่งที่ คสช. ทำมากๆ นะ . คุณประยุทธ์ ไม่ต่างจากหมูนโปเลียนเลย รัฐธรรมนูญปี 60 ก็ไม่ต่างจากบัญญัติ 7 ประการ ฉบับแก้ไข . ยังแปลกใจอยู่ ว่าทำไมคุณประยุทธ์ถึงแนะนำให้คนอ่านหนังสือเล่มนี้ ….. 

สงครามการค้าระหว่างจีน – สหรัฐ ในมุมส่วนตัว


สงครามการค้าระหว่างจีน – สหรัฐ ในมุมส่วนตัว

หากมองย้อนกลับไป ความจริงที่ผ่านมา อเมริกาถูกเอาเปรียบจริง และถูกเอาเปรียบมานาน ตั้งแต่สมัย บุช , โอบามา จนปัจจุบัน สหรัฐเสียดุลการค้าให้กับประเทศจีน จีนมีรายได้ส่งออก 550 ล้านต่อปี ในขณะสหรัฐมีรายได้ส่งออกไปจีนเพียงแค่ 150 ล้านเท่านั้น !

แถมจีนพยายามไม่ยอมเปิดโอกาสให้สหรัฐ เพิ่มการส่งออกให้มากขึ้น แถมจีนยังขโมย Intellectual Property ทรัพย์สินทางปัญญาจากสหรัฐอย่างต่อเนื่อง

ในขณะที่รัฐบาลจีน เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ แถมยังออกนโยบาย Made in China 2025 ของรัฐบาลจีน ที่บางสื่อเรียกว่าเป็นนโยบาย “State – Backed Intellectual Property Theft”

ล่าสุด จีนยังตอบโต้ โดยการให้ร้านอาหารในประเทศจีนขึ้นป้าย ว่า … ชาวอเมริกันทุกท่าน จะต้องชำระค่าภาษีเพิ่ม 25% จากบิลอาหาร… หากท่าน มีความสงสัยอะไร ก็ให้ไปสอบถามสถานทูตอเมริกันของท่านเอง!! โอ้ววว แซ่บมากกก

คัมภีร์การทำ SEO ในปี 2018 ที่คุณควรรู้ !


เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วจริง ๆ เผลอแป๊บเดียวกำลังจะผ่านพ้นปี 2017 ก้าวย่างเข้าปี 2018 แล้ว นึก ๆ ย้อนหลังไป ผู้เขียนเองทำงานในวงการดิจิทัลมาร่วม ๆ 10 ปี แต่ละปีจะมีสิ่งใหม่ ๆ เกิดขึ้น โดยเฉพาะเทรนการทำ SEO ที่ Google ปรับเปลี่ยน Algorithm (อัลกอรึทึม) เป็นว่าเล่น เล่นเอาคนทำงานด้านเว็บไซต์ก็ดี คนทำงานด้าน SEO ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์แทบไม่ทัน

Blog วันนี้ จึงอยากเขียนอัพเดตให้คนทำงานด้าน SEO ว่าในปี 2018 ที่กำลังจะมานั้น ควรต้องมีความรู้ ความเข้าใจ ให้มากขึ้น รวมทั้งเทคนิคการทำ SEO ให้เกิดประสิทธิภาพ ติดในหน้าแรกของการค้นหา (Search engine)

images

หลักการทำ SEO ในปี 2018 ที่ทุกคนควรรู้ ควรทำ มีดังนี้ …

1. เราต้องรู้ก่อนกว่าอะไรคือแก่นของ Google Search 

google-search
– หมายถึง … หากเราต้องการให้เว็บของเราติดอับดับหน้าแรก เราควรสร้างเนื้อหาแบบที่ Google ชอบ คือ เป็นข้อมูล (information) ที่เป็นคำตอบต่อคนที่กำลังอยากรู้ และข้อมูลเหล่านั้น ต้องเป็นข้อมูลที่เรียบเรียงมาอย่างดี อ่านแล้วต้องเข้าใจง่ายๆ (Accessible) และสุดท้ายข้อมูลของเราต้องเป็นประโยชน์ (Useful) คือ ช่วยแก้ปัญหาหรือให้คำตอบกับคนที่กำลังต้องการมันได้

2. เราต้องรู้ว่า Google ใช้หลักเกณฑ์อะไรบ้าง ? 

google-keyword-planner-tool
– หมายถึง … Google ต้องใช้เครื่องมือในการวิเคราะห์เว็บไซต์ทั้งโลก และดึงเฉพาะเว็บที่มีข้อมูลดีที่สุดมาแสดงเท่านั้น เพื่อให้คำตอบต่อผู้ที่อยากได้ข้อมูลนั้น ๆ และทำให้ผู้คนทั้งโลกอยากใช้ Google ในการค้นหาข้อมูลเพื่อให้ได้คำตอบดีที่สุด ต่อไปเรื่อยๆ เรียกได้ว่าเขาสามารถทำให้ผู้คนใช้งาน google เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันไปแล้ว

หากเราอยากเห็นเว็บตัวเองติดอันดับหน้าแรก เราก็ต้องทำเว็บของเราให้ผ่านเกณฑ์ที่ Google ได้วางเอาไว้

องค์ประกอบต่างๆ ที่ทาง Google ได้กำหนดเอาไว้เป็นสิ่งจำเป็นและควรมี มีอะไรบ้าง … 
2.1 : ต้องรองรับ Mobile Friendly 
2.2 : การเขียนบทความคุณภาพ 
2.3 : เวลาที่ใช้บนเว็บไซต์
2.4 : จำนวนผู้เข้ามายังหน้าเว็บไซต์เรา

3. ในการจัดอันดับเว็บไซต์ต่างการสร้าง Traffic พาคนมายังเว็บไซต์ของเรา

images (2)
– หมายถึง … เมื่อเราเขียนบทความเสร็จ ทุกอย่างยังนิ่งสนิท ไม่มีใครเห็นบทความของเราแน่นอน สิ่งที่เราต้องทำเป็นลำดับต่อไปคือ … การสร้าง Traffic พาคนเข้ามาเว็บของเราให้ได้ แต่ละคนย่อมมีวิธีการสร้าง Traffic แตกต่างกันไป

4. เชื่อมต่อเว็บไซต์เข้ากับ Google Search Console 

Screen-Shot-2015-05-20-at-11.22.06
– หมายถึง .. ให้เราเข้าใจวิธีการที่ Google ดูเว็บไซต์ของเราและเพิ่มโอกาสให้เว็บของเราติดหน้าแรกได้ง่ายขึ้นนั้นเอง

5. ส่ง Sitemap ไปให้ Google ทำเว็บของเราให้เป็น 

Coaching Sitemap Illustration
– หมายถึง … ระบบเนื้อหาหน้าเว็บไซต์ของเรา ที่เราสามารถส่งไปเพื่อบอก Google หรือ Search Engine อื่นๆ เพื่อให้โปรแกรมรวบรวมข้อมูลเว็บ เช่น Google Bot สามารถรวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ของเราได้ง่ายขึ้นนั่นเอง

หากเว็บไซต์ของเราเป็นเว็บใหม่ และยังไม่มี Backlink คุณภาพมาจากเว็บอื่นๆ การส่ง Sitemap ไปให้ Google เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง หากเราคาดหวังที่จะเห็นเว็บตัวเองติดหน้าแรก ในเวลาอันใกล้

6. ทำเว็บของเราให้เป็น https:// 

http-https
– หมายถึง … คือ การเข้ารหัสข้อมูลบนเว็บไซต์ของเรา เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการสื่อสารหรือส่งข้อมูลบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ช่วยให้ Google มองว่าเว็บเรามีคุณภาพ ใส่ใจเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้า การจัดอันดับเว็บเราก็จะดีขึ้นได้ เพราะแนวโน้มเชื่อว่า Google จะให้น้ำหนักเกี่ยวกับการทำเว็บให้ปลอดภัยเพิ่มมากขึ้นด้วย

 

สุดท้ายบทความนี้ ผมขอฝาก Infographic 16 ขั้นทำ SEO บนเพจสุดเพอร์เฟ็กต์ เป็นของแถมให้ทุกท่านที่อ่านบทความนี้จนจบ

SEO_Marketing_Infographic-2

 

DoubleClick มีดีอะไร ทำไม Google ต้องมาซื้อ DoubleClick


DOUBLE CLICK เป็นบริษัทที่ให้บริการด้านเทคโนโลยีการตลาดออนไลน์ทั้งแก่ผู้ที่เป็นเจ้าของเว็บไซต์ที่ต้องการขายพื้นที่โฆษณาบนเว็บของตัวเอง (ผู้ขาย) และเอเจนซี่โฆษณาซึ่งเป็นผู้ที่ต้องการซื้อพื้นที่โฆษณาเพื่อใช้ประชาสัมพันธ์สินค้าหรือบริการต่างๆ (ผู้ซื้อ) สิ่งที่ DoubleClick ทำก็คือการเป็นตัวกลางที่เชื่อมผู้ขายกับผู้ซื้อเข้าด้วยกัน DoubleClick ได้สร้างเครือข่ายของเจ้าของเว็บไซต์ซึ่งมีพื้นที่โฆษณาจำนวนมากเอาไว้ และได้นำพื้นที่นี้ไปขายต่อให้กับเอเจนซี่ ซึ่ง DoubleClick มีหน้าที่บริหารพื้นที่โฆษณาให้ดีที่สุดทั้งในแง่ของปริมาณและคุณภาพ ว่าง่ายๆก็คือ DoubleClick ทำตัวเป็นนายหน้าขายพื้นที่ให้

GOOGLE เป็นบริการแบบ Pay-Per-Click Text Ads ผู้ซื้อโฆษณาจะซื้อคีย์เวิร์ดจาก Google AdWords จากนั้น Google จะนำข้อความโฆษณาของผู้ซื้อไปแสดงบนเว็บไซต์ที่มีคีย์เวิร์ดนั้นๆ อยู่ ถ้าผู้เล่นเว็บไซต์นั้นเห็นโฆษณาแล้วคลิกที่โฆษณา ผู้ซื้อคีย์เวิร์ดก็จะต้องจ่ายเงินให้กับเจ้าของเว็บไซต์ โดย Google จะเป็นตัวกลางและเรียกเก็บค่าต๋งไป

เพราะฉะนั้นทั้ง Google และ DoubleClick ต่างก็เป็นตัวกลางเชื่อมผู้ขายและผู้ซื้อเหมือนกัน แต่! DoubleClick จะต่างออกไปตรงที่ไม่ได้มีเทคโนโลยี Search Engine แบบ Google จึงไม่สามารถให้บริการ Text Ads ได้ดีนัก แต่ DoubleClick ก็มี Image Ads ที่แข็งแกร่ง มีเครือข่ายเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเน้นรูปภาพและมัลติมีเดีย สรุปคือ… เจ้า Image Ads เนี่ยแหละครับ ที่ Google สู้ไม่ได้!!!

ประโยชน์ที่ Google ได้รับไปเต็มๆ คืออะไร ?

ต่อจากนี้ไป Google จะเป็นผู้รับคนเดียวครับ คือรับเงินจากบริษัทผู้ผลิตสินค้า และรับเงินจากผู้ซื้อโฆษณา ซึ่ง Google สามารถที่จะลดเปอร์เซ็นต์ของเงินสองก้อนนี้ลงได้เพื่อให้ตลาดของ Affiliate Marketing โตมากขึ้น กระตุ้นให้เจ้าของสินค้าเอาสินค้ามาฝากให้ Google ช่วยขายมากขึ้นเนื่องจากค่าต๋งถูกลง ซึ่งจะทำให้นายหน้ามีสินค้าให้เลือกขายได้มากขึ้น และลงโฆษณากับ Google AdWords มากขึ้นเช่นกัน!

มาสร้างคอลัมน์ ในการวัดผลของแคมเปญ รูปแบบใหม่กันเถอะ


ในปัจจุบัน มีลูกค้าหันมาสนใจลงโฆษณา Google AdWords กันมากขึ้น โดยเฉพาะโฆษณาบนมือถือ ตัวเลขคนไทยหยิบจับมือถือตั้งแต่ตื่นนอน จนเข้านอน พบว่ามากถึงวันละ 150 ครั้งต่อวัน !

55% ใช้เล่น Internet

85% ใช้ดู YouTube

โดยปกติ ในระบบ AdWords จะมีแถบรายงายผล (Columns) ต่างๆ แสดงวัดผลโฆษณาของเราตลอดเวลา ว่าวันนี้ได้คลิกเท่าไหร่ CTR ตกต่ำลงไหม มีคนเห็นโฆษณาเรามากน้องเพียงใด แต่บางทีเรากลับไม่พอใจ! ในรายงานผลนั้น เช่นอาจยังไม่ละเอียดพอ อยากดูลึกกว่านั้น แต่ระบบยังไม่อัพเดตให้ซะที เมื่อป็นอย่างนี้  Google จึงเป็ดโอกาศให้เราสร้างรายงานผลโฆษณาด้วยตัวเอง ซะเลย เจ๋งมาก!  โดย คอลัมน์ใหม่ส่วนนี้จะเป็นการสร้าง  ” คอลัมน์แบบกำหนดเอง “ ที่จะทำให้ชีวิตของเรา ๆ ง่ายขึ้นในการวัดผลลัพธ์ต่าง ๆ เช่น อัตราการคลิกเข้ามาจากมือถือเป็นอัตราส่วนเท่าไรของคลิกทั้งหมด

ตัวอย่างวันนี้ : (เราจะสร้างคอลัมน์ สัดส่วนการคลิกบนมือถือ / การคลิกทั้งหมด กันครับ)

ประโยชน์ : กำหนดค่าคอลัมน์เองเพื่อที่จะวัดผลลัพธ์ที่เราต้องการ เช่น การคลิกจากมือถือเป็นสัดส่วนเท่าไร (%) ของการคลิกทั้งหมดของแคมเปญของเรา เพื่อที่จะทราบว่าผลงานของการรันแคมเปญว่าเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งจะทำให้เราสามารถนำไปตัดสินใจการลงทุนโฆษณา และการปรับปรุงเว็บไซด์ (เพื่อให้ดูบนมือถือง่ายขึ้น เป็นต้น) ได้ดีขึ้นครับ

ขั้นตอนที่ 1: จากหน้า Campaign หรือ Ad Group คุณสามารถกดที่ปุ่ม Columns > Modify Columns

 

Screenshot_2

ขั้นตอนที่ 2: ด้านซ้ายมือสุด ให้กดเลือก Custom Columns แล้วเลือกการสร้าง +Columns

 

Screenshot_3

ขั้นตอนที่ 3: ให้กดไปที่ +Columns จะขึ้นแถบใหม่ให้เราสร้าง

Screenshot_4

ขั้นตอนที่ 4: Create a new column

3.1 Create column name :   Moblie Clicks %
3.2 Create column description : ใส่คำอธิยายลงไป เช่น จำนวนคลิกบนมือถือ หารด้วย จำนวนคลิกทั้งหมด
3.3 Select a metric : เลือก Performance > Click

Screenshot_5

ขั้นตอนที่ 4:

4.1 หลังจากเลือก Click แล้ว ก็ให้กดไปที่คลิกอีกครั้ง 
4.2 แล้วเลือก Device แล้วเลือก Mobile devices with full browsers

Screenshot_9

ขั้นตอนที่ 5: จะได้หน้าตาแบบนี้ 

Screenshot_8

ขั้นตอนที่ 6: สังเกตุให้ดีจะเห็นว่ามีเครื่องหมาย บวก ลบ คูณ หาร 

6.1 ให้คลิกที่แบเครื่องหมาย หาร

6.2 เลือก Select a metric อีกครั้ง แล้วเลือก Click

6.3 ไปที่แถบขวามือสุด แล้วเลือแบบ Percent%

6.4 จะได้หน้าตาแบบนี้ จากนั้นกด Save ได้เลย

Screenshot_10

เราก็จะได้ columns วัดผลเกี่ยวกับ Mobile มาใช้แล้ว เย้ๆๆ

Screenshot_11

ง่ายมากๆ เลย ใช่ไหม ลองเอาไปประยุกซ์ใช้กันดูนะครับ ถ้าเห็นว่าเนื้อหานี้มีปประโยชน์ ก็กดไลท์ กดแชร์ ได้นะฮ๊าบบบบบบ

“ความตาย”


เมื่อพูดถึง “ความตาย” ใครๆก็ย่อมไม่อยากให้เกิดขึ้นกับตนเองหรือคนใกล้ชิด แต่ใครไหนเล่าจะเลี่ยงความตายได้ ? ดังคำสอนของพระพุทธเจ้าที่พูดถึงสิ่งต่างๆในโลกนี้ว่า ล้วนแล้วแต่ “เกิดขึ้น ดำรงอยู่ และดับไป”
หากแต่เมื่อความตายเกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่ผู้ที่ยังอยู่ต้องทำให้แก่ผู้จากไปนั่นก็คือ “งานศพ” อาจจะเป็นงานศพหรูหรา หรืองานศพแบบธรรมดา ตามแต่เจ้าภาพจะต้องการ แต่รู้ไหมว่า งานศพแต่ละงานนั้นมีค่าใช้จ่ายไม่ใช่น้อยๆ
ค่าใช้จ่ายหลังความตายขั้นแรก
เริ่มที่โรงพยาบาล เมื่อเสียชีวิต ทางโรงพยาบาลจะมีบริการอาบน้ำ แต่งตัว ให้ผู้ตายใหม่ในราคาค่าบริการ 300 บาท ค่าฉีดฟอร์มาลีน 950 บาท (รวมค่ายาแล้ว) หากต้องการฝากร่างผู้เสียชีวิตไว้ในห้องเก็บศพของทางโรงพยาบาล ก็จะมีราคาค่าเช่าห้องอีกวันละ 300 บาท แต่ถ้าต้องการฝากไว้นานหลายวัน สามารถต่อรองลดราคากับทางโรงพยาบาลได้ (ราคานี้เป็นราคาของโรงพยาบาลรัฐบาลตามระเบียบกระทรวงการคลัง)
แต่ถ้าใช้บริการของทางภาคเอกชนหรือตามร้านที่ให้บริการด้านงานศพนั้น ค่าฉีดฟอร์มาลีน พร้อมแต่งหน้าศพจะอยู่ที่ประมาณ 1,500 บาทขึ้นไป แต่หากเป็นศพที่ประสบอุบัติเหตุหรือศพติดเชื้อ ราคาจะเพิ่มขึ้นตามปริมาณยาที่ใช้ในการฉีดศพ
ต่อมา เป็นขั้นตอนของการจัดหาโลงศพ โดยโลงศพแต่ละโลงนั้นราคาจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับวัสดุที่นำมาทำเป็นโลงศพ เช่น โลงไม้ยาง โลงไม้เนื้อแข็ง โลงไม้อัด โลงมุก โลงกระจก นอกจากวัสดุแล้ว ลวดลายตกแต่งโลงศพก็ยังมีให้เลือกมากมาย ทั้งแบบเทพพนม แบบแกะสลัก ฯลฯ พร้อมทั้งโลงศพที่ติดตั้งอุปกรณ์เสริมต่างๆเช่น โลงศพติดแอร์ โดยราคาของโลงศพนั้นจะมีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ประมาณ 3,000 บาท ไปจนถึงกว่า 200,000 บาทเลยทีเดียว
เมื่อมีโลงศพแล้วก็ต้องมีดอกไม้ประดับหน้าที่ตั้งศพและเมรุ ราคาของดอกไม้จะอยู่ที่ประมาณ 8,000-15,000 บาท ราคาจะเพิ่มมากน้อยกว่านั้นก็ขึ้นอยู่กับดอกไม้ที่นำมาจัดว่าเป็นดอกไม้ชนิดไหน ปริมาณเท่าไร รูปแบบอย่างไร และหากตั้งสวดพระอภิธรรมศพหลายวัน ดอกไม้ที่จัดไว้ก็จะเริ่มเหี่ยวเฉา ทำให้ต้องมีค่าดอกไม้ที่ต้องเปลี่ยนเพิ่มตามมาอีก
ค่าใช้จ่ายช่วงการสวดพระอภิธรรม
แน่นอนว่า สิ่งแรกที่ต้องทำช่วงการสวดพระอภิธรรมก็คือการหา “วัด” ที่จะใช้ตั้งศพ ในอดีตคนมักจะนิยมตั้งศพบำเพ็ญกุศลที่บ้านของผู้เสียชีวิต แต่ปัจจุบันจะนิยมนำศพไปทำพิธีที่วัด เพื่อความสะดวกของทุกๆฝ่าย ทั้งฝ่ายเจ้าภาพและผู้มาร่วมงาน อีกทั้งยังสะดวกต่อการทำตามพิธีกรรมให้ครบถ้วนอีกด้วย ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ หากเป็นวัดที่อยู่ต่างจังหวัดค่าใช้จ่ายจะถูกกว่าวัดในกรุงเทพฯและจังหวัดใหญ่ๆหลายเท่าตัว
สำหรับวัดที่เป็นพระอารามหลวง ค่าใช้จ่ายในการจัดงานศพจะสูงที่สุด รองลงมาคือวัดขนาดใหญ่ ส่วนวัดขนาดเล็กนั้นค่าใช้จ่ายจะไม่สูงมากนัก นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายในวัดเดียวกันยังแตกต่างกันไปตามขนาดของศาลา นั่นก็คือ ถ้าเป็นศาลาขนาดใหญ่ก็จะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าศาลาขนาดเล็ก และถ้าเป็นศาลาที่มีเครื่องปรับอากาศค่าใช้จ่ายก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก
นอกจากนั้นแล้ว ปัจจัยสำคัญในการเลือกวัดเพื่อตั้งบำเพ็ญกุศลยังมีตั้งแต่ วัดใกล้บ้านผู้เสียชีวิต, มีที่จอดรถเพียงพอ, มีศาลากว้างพอจะรับรองแขกได้, มีเมรุเผาศพอยู่ในวัดเรียบร้อย (แต่หากเป็นวัดทางภาคเหนือ วัดจะไม่มีเมรุเผาศพหรือสุสาน ต้องนำศพเคลื่อนไปทำพิธีฌาปนกิจที่สถานที่สำหรับเผาศพที่แยกออกมาต่างหาก)
ด้านค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับวัดนั้น ค่าใช้จ่ายแรกก็คือ ค่าบำรุงในการสวดอภิธรรม หากเป็นวัดขนาดเล็ก มักกำหนดอัตราค่าศาลา 500 บาทต่อคืนขึ้นไป ส่วนวัดขนาดใหญ่ มักเรียกเก็บค่าบำรุงประมาณ 1,000 บาทต่อคืนหรือมากกว่านั้นตามขนาดของศาลา แต่ถ้าศาลาติดเครื่องปรับอากาศด้วย จะมีค่าบำรุงประมาณ 2,500 บาทต่อคืนขึ้นไป
นอกจากนี้ยังมีเรื่องของอาหารที่จะใช้เลี้ยงแขกที่มาร่วมงาน ว่าจะจัดหาอาหารอะไร เจ้าภาพสามารถจัดหามาเลี้ยงเองได้ หรือจะใช้บริการของธุรกิจแคทเทอริ่ง ซึ่งปัจจุบันกำลังได้รับความนิยมอย่างมาก โดยธุรกิจนี้จะรับจัดเลี้ยงอาหารคาวหวานตามงานต่างๆ หรือรับทำเบเกอรี่กล่อง โดยราคาต่อกล่องนั้นจะอยู่ที่ประมาณกล่องละ 25-200 บาท แต่ถ้าไม่อยากยุ่งยากก็สามารถให้ทางวัดจัดการแทนก็ได้เช่นกัน โดยทางวัดจะคิดค่าอาหารเป็นรายหัว และชนิดอาหารที่นำมาเลี้ยง รวมแล้วคืนหนึ่งราคาค่าอาหารตกประมาณ 2,000-5,000 บาท
ค่าใช้จ่ายต่อมาคือ ค่าธรณีสงฆ์ หากญาติต้องการเก็บร่างผู้เสียชีวิตไว้ก่อน ยังไม่นำไปประกอบพิธีเผาหรือฝัง ก็สามารถนำร่างไปเก็บได้ที่ “โกดังเก็บศพ” ภายในบริเวณวัด โดยสามารถเก็บได้ไม่เกิน 100-150 วันตามแต่วัดนั้นๆจะกำหนด โดยบริจาคเป็นค่าบำรุงวัดประมาณ 500-1,000 บาท
ค่าใช้จ่ายที่ 3 คือ ค่าบำรุงในการเผาศพ ค่าบำรุงเมรุ ประมาณ 500-2,000 บาท โดยค่าเผาศพจะเรียกค่าบำรุงตามวิธีการเผา โดยวิธีการเผาแบบเตาถ่านจะถูกที่สุด ตามมาด้วยวิธีการเผาโดยใช้น้ำมัน และปัจจุบันนี้ยังมีเตาเผาศพไฟฟ้าเพิ่มมาอีกด้วย
นอกจากนั้นยังมีค่าสัปเหร่อประมาณ 1,000 บาท ค่าผ้าบังสุกุล ค่าเครื่องไทยธรรม/ดอกไม้ธูปเทียนที่ใช้ในการถวายพระประมาณ 1,000 บาทต่อคืน ค่าดอกไม้จันทน์ ถุงละ 80-100 บาท (1 ถุงมี 100 ดอก) และค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดอื่นๆ เช่น ค่าเครื่องตราสัง ค่ารถรับศพ ค่าแรงงานผู้มาช่วยงาน ค่าของชำร่วยที่มีหลากหลายทั้งหนังสือที่ระลึกงานศพ หนังสือธรรมะ ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ ยาหม่อง ยาดม ฯลฯ ซึ่งค่าใช้จ่ายต่างๆเหล่านี้ ราคาจะขึ้นอยู่กับจำนวน โดยในปัจจุบัน มีร้านรับจัดทำของชำร่วยทั้งแบบไปสั่งเอง สั่งผ่านร้านตัวแทนที่เกี่ยวกับธุรกิจงานศพ หรือจะสั่งผ่านทางอินเตอร์เน็ตจำนวนมาก
ค่าใช้จ่ายในงานศพแบบจีน
ค่าใช้จ่ายข้างต้นนั้นเป็นค่าใช้จ่ายในงานพิธีศพแบบไทย แต่หากงานศพที่จัดเป็นแบบจีนนั้นก็จะมีรูปแบบที่ต่างออกไป คือจะมีพิธีกงเต็กและต้องนำศพไปฝัง ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อมีพิธีเพิ่มมากขึ้น ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ก็จะเพิ่มตามขึ้นมาด้วย
สำหรับการทำพิธีกงเต็กนั้น เจ้าภาพจะมีค่าใช้จ่าย 2 ส่วน คือ ค่าใช้จ่ายแก่คณะพิธีกงเต็กและค่าใช้จ่ายเพิ่มแก่ทางวัด โดยค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายให้คณะพิธีกงเต็กนั้นขึ้นอยู่กับว่าเป็นกงเต็กใหญ่หรือเล็ก ถ้าเป็นกงเต็กใหญ่ค่าใช้จ่ายจะตกประมาณ 20,000 บาท หากเป็นกงเต็กเล็กจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 10,000-18,000 บาท ซึ่งค่าใช้จ่ายดังกล่าวนั้น ไม่รวมถึงเครื่องกระดาษและของไหว้ที่ต้องจ่ายเพิ่มประมาณ 3,000-20,000 บาท เจ้าภาพยังต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มให้แก่วัดสำหรับค่าอนุญาตทำพิธี ค่าบำรุงเตาเผาเครื่องกงเต็ก และค่าตำรวจรักษาการณ์คืนทำกงเต็ก ค่าใช้จ่ายส่วนนี้จะตกอยู่ที่ประมาณ 500-1,000 บาท
นอกจากค่าพิธีกงเต็กแล้ว ยังมีค่าหลุมฝังศพ โดยราคาจะขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้งซึ่งมีตั้งแต่ราคา 10,000-100,000 บาทขึ้นไป และค่าเสื้อผ้าของญาติในพิธีกงเต็ก ค่าทำพิธีกงเต็ก ค่าของไหว้ ค่าเครื่องกระดาษ และค่าดูฮวงจุ้ยเพิ่มมาอีก
แต่ปัจจุบันนี้ชาวไทยเชื้อสายจีนบางส่วนก็ไม่ได้ทำพิธีกงเต็กหรือฝังศพอีกต่อไป โดยหันมาใช้วิธีเผาศพผู้เสียชีวิตเช่นเดียวกับพิธีศพแบบไทยมากขึ้น ซึ่งบางครั้งก็เป็นความต้องการของผู้ที่เสียชีวิตเองที่ไม่ต้องการให้เป็นภาระกับลูกหลาน

ติดไวรัสบน Facebook จะแก้อย่างไรดี


ติดไวรัสบน Facebook จะแก้อย่างไรดี
ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา มีข่าวว่าหลายๆ คนโดนไวรัส ใน Facebook ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการโพสต์ข้อความแปลกๆ พร้อมกับลิงค์และคนอื่นๆ ที่เผลอคลิกลิงค์ดูก็แน่นอนว่าติดไวรัสนั้นไปแล้ว แน่นอนว่าลิงค์ที่กดเหล่านี้จะมีคำถามยืนยันสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลต่างๆของเรา พร้อมกับสามารถโพสต์แบบอัตโนมัติได้ด้วย ซึ่งหลายๆ คน มักจะไม่ได้อ่านและกดยอมรับ
ไม่ต้องตกใจนะ ให้รีบทำการเปลี่ยนรหัสผ่าน หรือ password กันก่อนโดยไปที่ …
การตั้งค่า (Settings) > การตั้งค่าบัญชี (Account Settings) > ทั่วไป (General) ‪#‎ในขั้นตอนนี้ต้องทำบนคอมพิวเตอร์‬
หลังจากที่เปลี่ยนรหัสผ่านแล้ว ให้มาตรวจเช็คที่ Apps ว่าเราเผลอไปกดยอมให้แอพแปลกๆ อันไหนสามารถโพสต์แบบอัตโนมัติได้ ซึ่งดูจากแอพล่าสุดหรือแอพที่ไม่น่าไว้วางใจ เพื่อทำการลบออกไป
ในการใช้งาน Facebook หรือเว็บไซต์ต่างๆ ไม่ควรเผลอคลิกลิงค์แปลกๆ หรือไม่น่าไว้วางใจ และถ้ามีเพื่อนมาโพสต์หรือส่งลิงค์มาให้ถามเพื่อนก่อนทุกครั้ง และถ้าหากเผลอคลิกไปแล้ว ควรจะอ่านสิทธิ์ในการเข้าถึงต่างๆ อย่างละเอียดก่อน

KPI (Key Performance Indicators)


KPI (Key Performance Indicators) หมายถึง เครื่องมือที่ใช้วัดความสำเร็จ และ ประเมินผลการดำเนินงานในด้านต่าง ๆ ซึ่งสามารถแสดงผลเป็นข้อมูลในรูปของตัวเลขเพื่อสะท้อนประสิทธิภาพในการทำงานขององค์กรหรือหน่วยงานต่าง ๆ ภายในองค์กร ฉะนั้นแล้ว KPI เป็น แค่ “มิเตอร์” เอาไว้เพื่อหา “โอกาสในการพัฒนา” จะได้ ย้อนไปดูกระบวนการ ได้คิดใหม่ ได้ทำใหม่ ไม่ใช่เป็นเครื่องมือใว้คอยจับผิดนะ มีหลายองค์กรที่เอา KPI ไปผูกกับ ” โบนัส รางวัล เงินเดือน ตำแหน่ง ” ‪#‎ซึ่งเราไม่เห็นด้วย‬
หลาย ๆ องค์กร คนตรวจ KPI มักใช้ความมักง่าย เอาแต่ ดูเอกสาร ไม่รู้จักการสังเกต ลงไปทำงานร่วมทีม พูดคุยรับรู้ปัญหาในการทำงาน การประสานงาน น่าสงสารพวกผู้บริหาร และ คนตรวจ KPI ที่ยังไม่เข้าใจ มักคิดว่า KPI ตัดสิน หรือ วัดคุณภาพของคนได้
บอกตรงๆ ในมุมมองส่วนตัว ไม่เคยเห็นด้วยถ้าจะเอา KPI มาเป็นตัววัด ” โบนัส รางวัล เงินเดือน ตำแหน่ง ” ของแต่ละคน
ส่วนตัวอยากเขียนเรื่องนี้มานานแล้ว เห็นว่าช่วงนี้แต่ละบริษัททะยอยจ่ายโบนัส เงินเดือน กันแล้ว จึงเหมาะที่จะเขียนวันนี้ …

มารู้จัก Collective conversation กันดีกว่า


มารู้จัก Collective conversation กันดีกว่า …
การทำงานของกลุ่มคนซึ่งสามารถสลับปรับเปลี่ยนผู้นำได้ตามแต่ละสถานการณ์ ซึ่งไม่ใช่ทีมที่มีผู้นำเพียงคนใดคนหนึ่ง ลักษณะคล้าย เช่น ทีมฟุตบอล เป็นต้น
แนวทางแบบ Collective leadership จะช่วยให้คนเก่งๆ ที่อยู่รวมกันในทีม แต่ละคนมีความสามารถพลิกแพลงในงานที่ตนถนัดได้ดี สามารถสลับกันเป็นผู้นำในส่วนงานที่ตนถนัดได้ และที่สำคัญ “ลงเป็น” ยอมให้เพื่อนคนอื่นขึ้นไปนำได้เช่นกัน
ปัญหาที่เรามักเจอคือ … พอจับคนเก่งๆ มารวมกันเป็นทีม กลับมีอาการ… ต่างคนต่างใหญ่ ต่างคนต่างมีความสามารถ ต่างคนต่างเก่ง ไม่ยอมลงให้กัน เชื่อไหม ! กลุ่มคนกลุ่มนี้กลับมีผลงานน้อยกว่าการทำงานแบบ Collective leadership รวมกันทำซะอีก